วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

จูเลียสซีซาร์

 



จูเลียส ซีซาร์
              จูเลียส ซีซาร์ หรือชื่อจริง ไกอัส จูเลียส (อังกฤษ: Julius Caesar ; ละติน: GAIVS IVLIVS CAESAR) เป็นรัฐบุรุษในประวัติศาสตร์ เขาได้สถาปนาตนเองขึ้นปกครองกรุงโรมและได้ทำให้อาณาจักรโรมมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของชาวโลกมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ จูเลียสได้ สร้างชื่อซีซาร์อันยิ่งใหญ่นี้ขึ้น และเป็นต้นแบบของกษัตริย์โรมในสมัยต่อมาที่ใช้ชื่อซีซาร์นี้ถึงสิบสององค์ แม้คำว่า ชาห์ แห่งอิหร่าน ซาร์ แห่งรัสเซีย ไกเซอร์ แห่งเยอรมันล้วนแล้วแต่มีรากศัพท์มาจากคำว่าซีซาร์ทั้งสิ้นและได้สืบทอดคำเรียกเหล่านี้มาจนถึงปัจจุบันนี้

ชีวประวัติและผลงาน
              จูเลียส เกิดในวันที่ 12 กรกฎาคม เมื่อประมาณ 100 ปี ก่อนคริสต์ศักราช (พ.ศ. 444) ในตระกูลขุนนางเก่าตระกูลหนึ่งมีบิดาชื่อเคอุส จูเลียส และมารดาชื่ออรอเรเลีย ซีซาร์ เป็นมนุษย์คนแรกที่เกิดโดยวิธีการผ่าตัดออกมาทางหน้าท้องบิดาของเขาแม้จะมั่งคั่งร่ำรวยแต่ก็มิได้มี ตำแหน่งสูงนักในทางราชการ จูเลียสเป็นกำพร้าบิดาตั้งแต่อายุยังน้อย คงมีแต่มารดาซึ่งคอยให้ความปกป้องคุ้มครองดูแลต่อมา
              นับตั้งแต่เด็กมา จูเลียสไม่เคยคิดที่จะยึดเอาการทหารเป็นอาชีพอย่างแท้จริงเลยทั้ง ๆ ที่เขาเคยเข้าฝึกทหารอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเขา ตั้งใจจะเป็นทนายความหรือเป็นนักกฎหมายซึ่งเป็นอาชีพที่ขึ้นหน้าขึ้นตาในสมัยนั้นมากกว่าครั้งหนึ่งเขาเคยถูกโจรสลัดจับตัวไปเรียกค่า ไถ่ เมื่อเขารอดชีวิตกลับมาเขากลับรวบรวมสมัครพรรคพวกและเรือทั้งหลาย กลับไปยังเกาะที่เขาเคยถูกนำตัวไปกักไว้ ได้สู้รบกับบรรดา โจรสลัดจนได้ชัยชนะนำพวกโจรกลับมารับการลงโทษเหตุการณ์นี้ได้แสดงให้เห็นว่า จูเลียสนั้นเป็นผู้ที่ชอบการสู้รบมาตั้งแต่เด็กๆ และก็ดู เหมือนว่าเขาจะมีชื่อเสียงที่สุดในด้านการทหาร เมื่ออายุ 21 ปี เขาได้รับเหรียญกล้าหาญในฐานะที่ได้ช่วยชีวิตทหารคนหนึ่งไว้ได้จากการรบ สามารถตีชนะประเทศต่าง ๆ ถึง 300 ประเทศ ได้เมืองต่าง ๆ ไว้ในอำนาจถึง 800 เมือง แม้แต่ในวงการทหารสมัยปัจจุบันก็ยังอดแปลกใจไม่ ได้ว่าทำไมจูเลียส ซีซาร์ จึงสามารถเดินทัพ และทำสงครามเผด็จศึกได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนั้น ทัพของโรมันได้ชัยชนะตั้งแต่ยุโรปทางตอน เหนือจรดยุโรปตอนใต้จากสเปนไปจนถึงอาเซียน้อยและเรื่อยไปจนถึงอียิปต์ ตลอดเวลาของการเดินทัพ จูเลียสจะกินอยู่หลับนอนร่วมกับ ทหารเลวทั้งหมดทั้งมักจะชอบแสดงถึงความกล้าหาญปราศจากความกลัวในภยันตรายทั้งหลายทั้งปวงให้เหล่าทหารได้เห็นครั้งหนึ่งเขา ควบม้าอย่างรวดเร็วเต็มฝีเท้าแต่กลับปล่อยมือจากสายบังเหียนแล้วยกขึ้นประสานไว้เหนือศีรษะและอีกครั้งหนึ่งเขาได้ขอลองขึ้นขี่ม้าที่ ขึ้นชื่อว่ายพยศที่สุด จนไม่มีใครกล้าขี่ ในการบุกทุกครั้ง จูเลียสจะเข้าร่วมอยู่ในกลุ่มทหารปฏิเสธไม่ยอมใส่แม้แต่หมวกเหล็กเพื่อให้ทหาร จำได้ เขาไม่เคยตกใจจนทำอะไรไม่ถูกและไม่ว่าจะทำอะไรเขาจะทำอย่างเชื่อมั่นในตนเองตลอดเวลาเขามักจะคิดถึงแต่ความสง่างามความ ยิ่งใหญ่ของเขาในฐานะเป็นผู้นำ
              ครั้งหนึ่งในการทำสงครามที่เฟซาเลีย ซึ่งในที่สุดโรมันก็เป็นฝ่ายได้ชัยชนะฟาร์เนเซส เจ้าผู้ครองแคว้นได้ก่อการกบฏขึ้นโดย ปฏิเสธไม่ยอมสวามิภักดิ์ด้วยจูเลียสจึงยกทัพเข้าตะลุมบอน และได้ชัยชนะภายในเวลาเพียงวันเดียวผลจากการสู้รบครั้งนี้เองทำให้เราได้ รู้จักคำพูดที่เป็นอมตะประโยคหนึ่งของจูเลียส ซีซาร์ ซึ่งได้รายงานกลับมาโรมว่า Veni, Vedi, Vici! ซึ่งแปลว่า "ข้าไปถึงแล้วข้าได้เห็น และ ข้าก็ได้ชัยชนะ"
เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในสมัยที่ซีซาร์ครองโรม
              เหตุการณ์ที่สำคัญนั้นก็คือ การยกทัพเข้ารุกรานเกาะอังกฤษ ที่เรียกว่าสำคัญก็ด้วยเหตุผลประการหนึ่งคือ ทำให้คนรุ่นหลังได้รู้จัก ประวัติของเกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่งซึ่งก่อนหน้านั้นไม่เคยมีอยู่บนแผนที่เลยด้วยซ้ำ ปีนั้นตรงกับปีที่ 55 ก่อนคริสต์ศักราช ซีซาร์ได้ครองอาณา จักรโกลซึ่งปัจจุบันคือประเทศฝรั่งเศสเรียบร้อยแล้ว แต่พวกโกลมักจะได้รับความช่วยเหลือจากชนชาติหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ ตรงข้ามเมืองคาเล่ส์ให้ก่อการกบฏอยู่เสมอ และถ้าพ่ายแพ้ พวกนี้ก็มักจะอพยพหนีไปพำนักพักพิงชั่วคราวอยู่ ณ เกาะเล็ก ๆ แห่งนั้น เกาะ นั้นจะเป็นเกาะอะไรมีพลเมืองมากน้อยเพียงใด มีความเป็นอยู่อย่างไร จูเลียส ซีซาร์ หาได้มีความรู้แม้แต่น้อยไม่ แต่กระนั้น เขาก็ตัดสินใจยก ทัพเข้ารุกรานทันที จูเลียส สั่งเตรียมทหารให้มาพร้อมกันลงเรือที่เมืองบูโลญราว 10,000 คน เพียงข้ามคืนเดียว กองทัพโรมก็จะขึ้นฝั่งได้แถบ บริเวณโดเวอร์ แต่ชาวพื้นเมืองเตรียมต่อสู้อย่างเต็มที่ ทำให้จูเลียสต้องสั่งทหารให้แล่นเรือต่อไปรอบ ๆ เกาะจนถึงดีส จึงขึ้นบกและขับไล่ ชาวพื้นเมืองให้หนีไปได้ เหตุการณ์เป็นปกติเรียบร้อย จนถึงวันที่สี่นับจากการยึดครองเกาะได้ คืนนั้นเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงน้ำทะเลขึ้น สูง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ชาวโรมันไม่เคยได้รู้จักมาก่อน กำลังน้ำทำลายเรือเสียมากต่อมากในที่สุดซีซาร์ต้องออกคำสั่งให้ถอยทัพกลับ ยุโรป พอดีกับเหตุการณ์วุ่นวายในแถบยุโรปตะวันออก ซึ่งซีซาร์ต้องเสียเวลาปราบปรามอยู่พักหนึ่ง
              เดือนเมษายนปีต่อมา จูเลียส ซีซาร์ สั่งให้เตรียมกองทัพเรืออีกครั้ง คราวนี้มีเรือถึง 600 ลำ กองทหารถึง 28 กอง และเมื่อถึงวันที่ 20 กรกฎาคมก็เริ่มออกเดินทางคราวนี้ชาวเกาะมิได้คิดต่อสู้เลย คงจะเกิดความกลัวตั้งแต่เห็นความยิ่งใหญ่ของกองเรือจึงพากันอพยพหนีขึ้น ไปทางเหนือ ซีซาร์ยกทัพตามขึ้นไปจนถึงเมืองเซนต์ อาลลานส์ เมื่อฤดูหนาวใกล้เข้ามาก็ตัดสินใจยกทัพกลับโรมโดยนำเชลยติดมาด้วยเป็น จำนวนมาก ชาวโรมันตื่นเต้นกันมากในชัยชนะครั้งนี้
              เมื่อวัยหนุ่ม ซีซาร์ได้เดินทางไปรับการศึกษา ณ เกาะโรดส์ระหว่างนั้นได้เกิดสงครามขึ้นและซีซาร์ก็ได้ไปร่วมรบด้วยทำให้เขามีชื่อ เสียงขึ้นและเมื่อกลับมายังโรมเขาจึงได้รับแต่งตั้งเป็นมอนติเฟดส์และเริ่มสนใจทางการเมืองเขาร่วมมือกับปอมเปย์ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทัพ
โรมันและเครสซัส เศรษฐีคนหนึ่งเรียกคณะของตนว่าไตรอุมวิเรทมีอำนาจควบคุมกิจการบริหารในสมัยนั้นอย่างมากมาย
              ต่อมาราว 59 ปี ก่อนคริสต์ศักราช จูเลียสได้รับเลือกเป็นกงสุลและได้มีการแบ่งอำนาจกันระหว่างคู่สัญญาทั้งสามซึ่งทำให้จูเลียสได้ โอกาสแผ่ขยายอำนาจต่อไปได้เต็มที่จนปอมเปย์อิจฉาจนในที่สุดเกิดเป็นสงครามขึ้น ตอนนี้แครสซัสตายแล้ว จูเลียสได้ชัยชนะปอมเปย์ หนีไปอียิปต์ และไปถูกฆ่าตายที่นั้น ราว 48 ปี ก่อนคริสต์ศักราชเขาได้เข้าเมืองอียิปต์ช่วยจัดการให้คลีโอพัตราซึ่งกำลังมีเรื่องแย่งราช สมบัติกับพระอนุชาให้ได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ จนมีเรื่องลือกระฉ่อนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับพระนางคลีโอพัตรา
              อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้จูเลียสก็ได้มีอำนาจเต็มที่ในโรมเขากลับมาถึงโรมและได้รับการยกย่องให้เป็น "ผู้มีอำนาจปกครองโดย เผด็จการ" โดยกำหนดให้มีอำนาจอยู่ครั้งละสิบปีและต่อมาเมื่อเขาปราบปรามตีดินแดนทางแถบแอฟริกาและสเปนได้เขาจึงได้รับการ อนุมัติให้เป็น "หัวหน้าผู้เผด็จการ" ตลอดชีวิต
ด้านมืด และจุดจบของซีซาร์
              ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะไม่มีความชั่วติดตัวเลย จูเลียส ซีซาร์เอง แม้ว่าจะมีความสามารถเก่งกล้ายิ่งนักในการสงครามแต่ก็มีข้อเสียอยู่ อย่างหนึ่ง นั่นคือ มีความทะเยอทะยานอย่างรุนแรง เมื่อเล็ก ๆ เขามีชื่อเสียงในเรื่องการใช้เงินเปลืองจนเป็นหนี้สินเมื่อเติบโตมีอำนาจในมือ เขาก็จับจ่ายใช้สอยอย่างมือเติบทั้ง ๆที่เงินนั้นเป็นของหลวง ในด้านการสงคราม จูเลียส ซีซาร์ ก็ถูกโจมตีว่าพาคนไปตายเสียมากต่อมาก แต่ ในการรบในสมัยโน้น แต่ละฝ่ายต่างก็ยอมเสียทหารเป็นจำนวนมากเสมอการสั่งประหารชีวิตแม่ทัพโกลซึ่งย่อมแพ้ต่อทัพโรมันเมื่อครั้ง จูเลียส ซีซาร์ พากองทัพอันเกรียงไกรเข้าไปบุกโกลเป็นตราบาปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา จูเลียสสั่งขังแม่ทัพโกลไว้ถึงหกปีแล้วจึงสั่ง ให้ประหารชีวิตทั้ง ๆ ที่มิได้มีความผิดใด ๆ เพียงแต่ต้องการให้เป็นเครื่องส่งเสริมบารมีของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
              แต่ก็น่าแปลกที่ครั้งหนึ่งจูเลียส ซีซาร์ ได้ทราบข่าวว่าปอมเปย์ คู่อริที่ยิ่งใหญ่ของเขาถูกฆ่าแล้วในอียิปต์ จูเลียสก็ถึงกับทรุดนั่งและ ร้องไห้
              อย่างไรก็ตาม แม้จูเลียสจะได้ชื่อว่าทารุณโหดร้ายแต่เขาก็เป็นแม่ทัพที่ทหารพากันจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง จนแทบจะพูดได้ว่า ไม่เคย มีทหารในสมัยใดจะรักเจ้านายของตนยิ่งไปกว่าทหารรักซีซาร์ที่ไหนมีอันตรายที่นั่นซีซาร์จะเป็นคนแรกที่บุกเข้าไปก่อน ถ้าในการเดินทาง กองทหารจำเป็นจะต้องข้ามแม่น้ำสักสายหนึ่งที่น่ากลัวที่สุด จูเลียสจะเป็นคนแรกที่ลงว่ายน้ำนำบรรดาทหารทั้งหลายลงไป
              ผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนย่อมมีศัตรู ในโลกนี้มีคนอีกหลายคนที่ทนเห็นความสำเร็จของผู้อื่นไม่ได้ จูเลียส ซีซาร์ เป็นคน ๆ หนึ่งที่ถูกอิจฉา ริษยา เขาเองก็รู้ตัวดีแต่เขาจำเป็นต้องทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็นเสียบ้างคนที่คิดปองร้ายเขาคือนักโทษคนหนึ่งที่ซีซาร์เองเป็นผู้ออกคำสั่งให้ไว้ ชีวิต จูเลียสไม่เคยคิดเลยว่า คน ๆ นี้จะเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ เขาผู้นั้นมีชื่อว่า มาร์คุส จูนิอุส บรูตุส ซึ่งเขารับเป็นลูกเลี้ยงในเวลาต่อมา
              การลอบฆ่าเป็นไปอย่างง่ายดาย ซีซาร์เองไม่เคยได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย จึงไม่มีการระวังตัวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามในวันที่ 14 มีนาคมก่อนคริสต์ศักราช 44 ปี ซึ่งเป็นวันก่อนวันเกิดเหตุร้ายเพียงหนึ่งวันก็ได้มีสัญญาณหลายอย่างที่แสดงว่าโลกเรากำลังจะต้องสูญเสียผู้ ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งพายุพัดแรงจัดมีดาวหางขึ้นในท้องฟ้าคัลเฟอร์เนีย ภรรยาของจูเลียสนึกสังหรณ์ใจจนถึงกับกราบขอร้องอ้อนวอนมิให้ สามีเธอเดินทางไปประชุมสภาเซเนทในวันรุ่งขึ้นแต่จูเลียสกลับหัวเราะเยาะราวกับเห็นเป็นเรื่องขบขันเสียเต็มประดา จูเลียสดื้อรั้นที่จะไป ประชุมในวันนั้นให้ได้ เมื่อเขาเดินผ่านห้องโถง รูปปั้นตัวเขาเองก็หล่นลงมาแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นอกจากนั้นระหว่างทางมีชาย คนหนึ่งแอบส่งจดหมายให้เขาฉบับหนึ่งขอร้องให้เขาอ่านก่อนที่จะเข้าประชุมแต่จูเลียสเพียงแต่กำไว้ในมือโดยไม่ทันได้อ่าน ถ้าเพียงแต่ เขาจะได้มีโอกาสอ่านจดหมายฉบับนั้นประวัติศาสตร์โรมันก็คงจะเปลี่ยนไปอีกเป็นคนละรูปเพราะในจดหมายฉบับนั้นมีรายชื่อของผู้ที่คิด วางแผนจะเอาชีวิตเขาทั้งหมดรวมทั้งแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการนั้นด้วย
              11.00 น. เช้าวันที่ 15 มีนาคม ก่อนคริสต์ศักราช 44 ปี ขณะที่จูเลียส ซีซาร์กำลังยืนอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการประชุมในสภาเซเนท แคสซิอุส มาร์คุส จูนิอุส บรูตุส ลูกเลี้ยงของเขาหนึ่งในจำนวนผู้วางแผนทรยศก็ได้ปักดาบคู่มือทะลุผ่านลำคอ ซีซาร์ยกมือขึ้นรับแต่ก็ไม่ สำเร็จเขาล้มลงขาดใจตายจมกองเลือดอยู่ ณ ที่นั่นเอง


วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2566

เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย

 

เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย(1)
หากเราจะเล่าเรื่องราวของชนชาติอิสราเอลมันดูประหนึ่งนิยาย แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ชาวโลกต้องยอมรับและไม่อาจปฎิเสธได้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้จดเรื่องราวที่สะท้อนรากฐานของชนเผ่า "เสมิติค"เผ่าฮีบรู ผู้มีถิ่นกำเนิดและมีรากเง่าในนครอูร์ อาณาจักรแคลเดีย ตอนเหนือของอ่าวเปอร์เซียเมื่อก่อนคริสตกาล 1,800 ปี
บรรพบุรุษคนสำคัญของชนชาติฮีบรูคนสำคัญคือ เทราห์ ผู้มีบุตรชื่อ อับราม นาโฺฮร์ และ ฮาราน ได้นำชาวฮีบรูกลุ่มหนึ่งอพยพครั้งใหญ่ออกจากนครเออร์มุ่งหน้าไปยังนครฮาราน ซึ่งอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของของดินแดนเมโสโปเตเมีย หรืออาณาบริเวณพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวฝากตะวันตกของแม่น้ำไทกริส และแม่น้ำยูเฟรติส "เทราห์ก็พาอับรามบุตรของตนกับโลทหลานชาย คือบุตรของฮารานและนางซารายบุตรสะใภ้ คือภรรยาของอับราม ออกจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย จะเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน แต่เมื่อเขาทั้งหลายมาถึงเมืองฮารานแล้วก็อาศัยอยู่ที่นั่น"
 
 

 

เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย(2)ดินแดนสมบูรณัฐจันทร์ "ดินแดนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว(The Fertile 

Crescent) เป็นดินแดนที่มีควา,อุดมสมบูรณ์ได้รับการพรรณาใน

พระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "ดินแดนที่อาบด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง"และใน

ดินแดนดังกล่าวนี้มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า "ดินแดนแห่งพระสัญญา"

(The Promised Land) "

1พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า "เจ้าจงออกจากเมืองจากญาติพี่น้องจาก

บ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้"ดินแดน

สมบูรณัฐจันทร์เป็นส่วนโค้งของภูมิภาคเริ่มต้นจากตอนเหนือของอ่าว

เปอร์เซียขึ้นไปถึงตอนใต้ของประเทศเตอรกีแล้วลากเส้นดื่งลง

มาตามแนวชายฝั่งของทะเลเมดิเตอรเรเนี่ยนลงไปทางทิศใต้ถึง

สามเหลื่ยมปากแม่น้ำไนล์ของอียิปต์โบราณนอกจากนี้ดินแดน

สมบูรณัฐจันทร์ยังเป็นทำเลที่ตั้งของอาณาจักรโบราณเก่าแก่

ที่รุ่งเรืองด้วยอารยะธรรม เช่นอัคคาเดียน สูเมอเรียน บาบิโลน 

เปอร์เซีย นักประวัติศาสตร์ขนานนามว่า "ชิน่าร์"หรือ"เมสโสโปเตเมีย"

(แผ่นดินที่รอบไปด้วยน้ำ"หรืออาจจะหมายถึงอารยะธรรมของลุ่ม

แม่น้ำไททริสและยูเฟติสที่ได้ชื่อว่า "อู่อารยะธรรมของมวลมนุษยชาติ"

(Cradle of Human Civilization)ดินแดนสมบูรณัฐจันทร์ยังเป็น

ถิ่นกำเนิดของเผ่าเสมิติคได้แก่ อัคคาเดียน คาลเดียน  บาบิโลเนียน

 อัสซีเรียน อาโมเรียน  อาราเมียน ฟินิเซียน อาหรับ ฮีบรู 

นาบาเทียน ซีเรียน ฮีคโซส อียิปต์ เอธิโอเปีย และ ยูการิคส่วนเทรา

 และ บุตรของตนเป็นชนเผ่าฮีบรู ที่มาจากอนครเออร์ อาณาจักร

แคลเดีย และย้ายมาตั้งรกรากแห่งแรกที่ "นครฮาราน"บนถนนสาย

สำคัญที่เชื่่อม 3 ทวีปคือ เอเซียตะวันออกกลาง เอเซียกลาง และ

อาฟริกา ถนนสายนี้ชื่อว่า"เวียมาริส"(via maris)






วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2566

400 ปี ระหว่างมาลาคี ถึง มัทธิว

 เวลาระหว่างงานเขียนสุดท้ายของพันธสัญญาเดิมกับการปรากฏของพระคริสต์เรียกว่าช่วง “ระหว่างพันธสัญญา” (หรือ “ระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่”) เรื่องนี้กินเวลาตั้งแต่สมัยของมาลาคี (ประมาณ 400 ปีก่อนคริสตกาล) จนถึงการเทศนาของยอห์นผู้ให้บัพติศมา (ประมาณปี ค.ศ. 25) เนื่องจากไม่มีคำพยากรณ์จากพระเจ้าในช่วงตั้งแต่มาลาคีถึงยอห์น บางคนจึงเรียกช่วงเวลานี้ว่า “400 ปีแห่งความเงียบงัน” บรรยากาศทางการเมือง ศาสนา และสังคมของอิสราเอลเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงเวลานี้ ผู้เผยพระวจนะดาเนียลพยากรณ์เหตุการณ์ส่วนใหญ่ไว้ (ดูดาเนียลบทที่ 2, 7, 8 และ 11 และเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์)

อิสราเอลอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิเปอร์เซียประมาณ 532–332 ปีก่อนคริสตกาล ชาวเปอร์เซียอนุญาตให้ชาวยิวนับถือศาสนาของตนโดยแทบไม่มีการแทรกแซงใดๆ พวกเขาได้รับอนุญาตให้สร้างใหม่และนมัสการที่พระวิหาร (2 พงศาวดาร 36:22–23; เอสรา 1:1–4) ช่วงเวลานี้รวมช่วง 100 ปีสุดท้ายของช่วงพันธสัญญาเดิมและประมาณ 100 ปีแรกของช่วงระหว่างพันธสัญญาด้วย ช่วงเวลาแห่งความสงบและความพึงพอใจครั้งนี้เป็นเพียงความสงบก่อนเกิดพายุ

ก่อนยุคระหว่างพันธสัญญา อเล็กซานเดอร์มหาราชเอาชนะดาริอัสแห่งเปอร์เซีย และนำการปกครองของกรีกมาสู่โลก อเล็กซานเดอร์เป็นลูกศิษย์ของอริสโตเติลและได้รับการศึกษาอย่างดีในด้านปรัชญาและการเมืองกรีก อะเล็กซานเดอร์เรียกร้องให้มีการส่งเสริมวัฒนธรรมกรีกในทุกดินแดนที่พระองค์ยึดครอง ด้วยเหตุนี้ พันธสัญญาเดิมภาษาฮีบรูจึงได้รับการแปลเป็นภาษากรีก และกลายเป็นคำแปลที่เรียกว่าพระคัมภีร์ฉบับเซฟตัวจินต์การอ้างอิงถึงพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมในพันธสัญญาใหม่ส่วนใหญ่ใช้ถ้อยคำพระคัมภีร์ฉบับเซฟตัวจินอเล็กซานเดอร์ยอมให้เสรีภาพทางศาสนาแก่ชาวยิว แม้ว่าเขายังคงส่งเสริมวิถีชีวิตชาวกรีกอย่างแข็งขันก็ตาม นี่ไม่ใช่เหตุการณ์พลิกผันที่ดีสำหรับอิสราเอล เนื่องจากวัฒนธรรมกรีกเป็นแบบโลก มีมนุษยธรรม และอธรรม

หลังจากที่อเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ แคว้นยูเดียก็ถูกปกครองโดยผู้สืบทอดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไปสิ้นสุดที่กษัตริย์เซลูซิด อันติโอคัส เอปิฟาเนส อันติโอคัสทำมากกว่าปฏิเสธเสรีภาพทางศาสนาแก่ชาวยิว ประมาณ 167 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ทรงล้มล้างแนวปฏิบัติอันชอบธรรมของฐานะปุโรหิตและทำลายพระวิหาร ทำให้มีมลทินด้วยสัตว์ที่ไม่สะอาดและแท่นบูชานอกรีต (ดู มาระโก 13:14 สำหรับเหตุการณ์ที่คล้ายกันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต) การกระทำของอันติโอคัสเทียบเท่ากับการข่มขืนทางศาสนา ในที่สุด การต่อต้านของชาวยิวต่ออันติโอคัสซึ่งนำโดยยูดาส มักคาบิวส์และชาวฮัสโมเนียน ได้ฟื้นฟูปุโรหิตโดยชอบธรรมและกอบกู้พระวิหารได้ ช่วงเวลาของการปฏิวัติแมคคาบีนเป็นช่วงหนึ่งของสงคราม ความรุนแรง และการต่อสู้ประจัญบาน

ประมาณ 63 ปีก่อนคริสตกาล ปอมเปย์แห่งโรมพิชิตอิสราเอล ทำให้แคว้นยูเดียทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของซีซาร์ ในที่สุดสิ่งนี้ทำให้เฮโรดถูกแต่งตั้งเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นยูเดียโดยจักรพรรดิโรมันและวุฒิสภา นี่คือประเทศที่เก็บภาษีและควบคุมชาวยิวและประหารพระเมสสิยาห์บนไม้กางเขนของโรมันในที่สุด ปัจจุบันวัฒนธรรมโรมัน กรีก และฮีบรูได้ผสมผสานกันในแคว้นยูเดีย

ในช่วงการยึดครองของชาวกรีกและโรมัน กลุ่มการเมือง/ศาสนาที่สำคัญสองกลุ่มได้ถือกำเนิดขึ้นในอิสราเอล พวกฟาริสีเพิ่มกฎของโมเสสผ่านประเพณีปากเปล่าและท้ายที่สุดถือว่ากฎของพวกเขาเองสำคัญกว่ากฎของพระผู้เป็นเจ้า (ดู มาระโก 7:1–23) แม้ว่าคำสอนของพระคริสต์มักจะเห็นด้วยกับพวกฟาริสี แต่พระองค์ทรงตำหนิการเคร่งครัดอันไร้เหตุผลและการขาดความเห็นอกเห็นใจของพวกเขา พวกสะดูสีเป็นตัวแทนของขุนนางและผู้มั่งคั่ง พวกสะดูสีซึ่งใช้อำนาจผ่านสภาซันเฮดริน ปฏิเสธหนังสือทั้งหมดยกเว้นหนังสือโมเสสในพันธสัญญาเดิม พวกเขาปฏิเสธที่จะเชื่อเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์และโดยทั่วไปเป็นเพียงเงาของชาวกรีกที่พวกเขาชื่นชมอย่างมาก

เหตุการณ์ต่างๆ ในยุคระหว่างพินัยกรรมได้ปูทางไปสู่พระคริสต์และมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชาวยิว ทั้งชาวยิวและคนต่างศาสนาจากประเทศอื่นเริ่มไม่พอใจศาสนา คนต่างศาสนาเริ่มตั้งคำถามถึงความถูกต้องของการนับถือพระเจ้าหลายองค์ ชาวโรมันและชาวกรีกถูกดึงออกมาจากเทพนิยายของพวกเขาไปสู่พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู ซึ่งปัจจุบันเข้าถึงได้ง่ายในภาษากรีกหรือละติน อย่างไรก็ตามชาวยิวก็รู้สึกท้อแท้ พวกเขาถูกพิชิต ถูกกดขี่ และแปดเปื้อนอีกครั้งหนึ่ง ความหวังกำลังจะหมดลง ศรัทธาก็ยิ่งต่ำลง พวกเขามั่นใจว่าขณะนี้สิ่งเดียวที่สามารถช่วยพวกเขาและศรัทธาของพวกเขาได้คือการปรากฏของพระเมสสิยาห์ ผู้คนไม่เพียงเตรียมพร้อมและเตรียมพร้อมสำหรับพระเมสสิยาห์เท่านั้น แต่พระเจ้าทรงเคลื่อนไหวในวิธีอื่นเช่นกัน ชาวโรมันได้สร้างถนน (เพื่อช่วยเผยแพร่ข่าวประเสริฐ); ทุกคนเข้าใจภาษากลาง Koine Greek (ภาษาในพันธสัญญาใหม่); และมีสันติสุขและเสรีภาพในการเดินทางพอสมควร (ช่วยเผยแพร่พระกิตติคุณเพิ่มเติม)

พันธสัญญาใหม่บอกเล่าเรื่องราวที่มาของความหวัง ไม่เพียงแต่สำหรับชาวยิวเท่านั้นแต่สำหรับทั้งโลกด้วย ความสัมฤทธิผลตามคำพยากรณ์ของพระคริสต์เป็นที่คาดหวังและเป็นที่ยอมรับจากหลายๆ คนที่แสวงหาพระองค์ เรื่องราวของนายร้อยชาวโรมัน พวกนักปราชญ์ และฟาริสีนิโคเดมัสแสดงให้เห็นว่าพระเยซูได้รับการยอมรับจากผู้คนจากหลายวัฒนธรรมอย่างไร “400 ปีแห่งความเงียบงัน” ของช่วงระหว่างพินัยกรรมถูกทำลายลงด้วยเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยบอกเล่า—พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

หนังสิอ 1-2 แมคคาบี

 เรื่องราวของหนังสือแมคคาบีฉบับที่ 1 เป็นเรื่องราวที่ปรากฎในช่วงเวลา 400 ปี(ช่วงเงียบ)ระหว่างสมัยของ มาลาคี และ มัทธิว เป็นปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์การกอบกู้ชาติยิวส์ภายใต้การกดขี่ของกษัตริย์กรีกหลายองค์โดยเฉพาะจาก แอนติโอคัส อีพิฟานี่ กษัตริย์กรีกเหล่านี้มีต้นกำเนิดมาหลังจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ราวปี พ.ศ.222  


และแม่ทัพกรีกหลายคนได้สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ ปกครองหลายพื้นที่ในเอเซียน้อย 

     ในบลอกนี้ ขออนุญาติลิงค์ข้อมูลไปยังเว้ปไซต์เผยแพร่ธรรมของสมาคมคาธอลิคแห่งประเทศไทยที่นำเสนอ 1-2 แมคคาบี จากพระคัมภีร์ฉบับอธิกธรรม ขอเชิญติดตามอ่านครับ





 

 

 

 



วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ช่วงเงียบ 400 ปี ระหว่างพันธสัญญา

                           400 ปีแห่งความเงียบ

          ระหว่างพันธสัญญาเดิม และ พันธสัญญาใหม่ แม้จะถูกเรียกว่า “400 ปีแห่งความเงียบงัน” แต่ช่วงเวลาหลายศตวรรษระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่กลับมีแต่ความเงียบสงบ พวกเขาเต็มไปด้วยเสียงกองทัพเดินทัพและเสียงดาบปะทะกัน                         อิสราเอลยุติการเป็นประเทศเอกราชในปี 586 ก่อนคริสต์ศักราช แต่ความปรารถนาของประชาชนของพระเจ้าในการฟื้นฟูประเทศและการปลดปล่อยของพระเมสสิยาห์ได้ทวีความรุนแรงขึ้นภายใต้นโยบายที่กดขี่ของประเทศผู้ปกครอง สิ่งที่ขาดหายไปและด้วยเหตุนี้จึง "เงียบ" คือเสียงของคำพยากรณ์ซึ่งให้ความกระจ่างแก่ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลตั้งแต่สมัยของโมเสส ในช่วงเวลาอันยาวนานตั้งแต่ซามูเอลลงไปจนถึงมาลาคี บุคคลสูงตระหง่านอย่างเอลียาห์ อิสยาห์ และเยเรมีย์ได้ประกาศอยู่เสมอว่า “พระเจ้าตรัสดังนี้” ผู้เผยพระวจนะเป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของประเทศภายใต้อำนาจของพระเจ้า ตอนนี้เสียงของพวกผู้เผยพระวจนะเงียบลงกิจกรรมทางศาสนาและงานเขียนที่ “ศักดิ์สิทธิ์” ไม่ได้ยุติลงพร้อมกับคำสวยพระวจนะของมาลาคี หลังจากปิดพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมไม่นานก่อน 400 ปีก่อนคริสต์ศักราช รายชื่องานเขียนที่ไม่เปิดเผยของชาวยิวทั้งหมดปรากฏขึ้น ซึ่งบางชิ้นพบทางเข้าสู่พระคัมภีร์ฉบับภาษาละตินจากพื้นฐานของท่านเจโรม (ประมาณ ค.ศ. 380) และหลังจากสภาเมืองเทรนต์ (ค.ศ. 1557-1563) กลายเป็นพระคัมภีร์ไบเบิลของนิกายโรมันคาทอลิกในปัจจุบัน วรรณกรรมทางศาสนาของชาวยิวเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของผลงานวรรณกรรมมากมายในยุคเฮเลนิสติก แต่ชาวยิวอย่างฟิโลแห่งอเล็กซานเดรีย (ประมาณ 25 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 50) และต่อมาโจเซฟัส (ประมาณ ค.ศ. 37-100) สามารถแต่ง ผลงานทางปรัชญาและประวัติศาสตร์ในภาษากรีกซึ่งดึงดูดวัฒนธรรมกรีกโก-โรมันที่กว้างขึ้นบนพื้นฐานของคุณงามความดีทางปัญญาและวรรณกรรมตั้งแต่ยุคพันธสัญญาเดิมสิ้นสุดลงประมาณปีค.ศ. 400 ปีก่อนคริสต์ศักราช และพันธสัญญาใหม่แทบจะไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับช่วงเวลาก่อนการประสูติของพระเยซูเลย เราต้องอาศัยคัมภีร์ที่ไม่มีหลักฐานและ Pseudepigrapha (เรียกว่า "การเขียนเท็จ") ของช่วงเวลาระหว่างพระคัมภีร์ ตลอดจนนักประวัติศาสตร์โรมันเพื่อขอข้อมูล เกี่ยวกับเหตุการณ์ในศตวรรษที่ 4 ถึง 1 ก่อนคริสต์ศักราช โจเซฟัส ผู้บัญชาการกลุ่มกบฏชาวยิวในแคว้นกาลิลีในช่วงแรกของการก่อจลาจลของชาวยิวครั้งแรกในปี ค.ศ. 66-73 (ซึ่งต่อมาได้ยกทัพมาตีชาวโรมัน) เป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับประวัติศาสตร์ชาวยิว บรรดาบิดาอัครศีลาจารย์ โดยเฉพาะเซนต์ออกัสติน (ค.ศ. 354-430) และ โอโรซีอุส ศิษย์ของท่าน (ประมาณ ค.ศ. 415) ได้เสนอการตีความเหตุการณ์ในศตวรรษที่ยากลำบากเหล่านั้นของคริสเตียน ออกัสตินชี้ให้เห็นว่าช่วงเวลาก่อนคริสตกาลเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ยาวนานและน่าเศร้าของการข่มเหง การฆ่าฟัน และความรุนแรง “พระนครของพระเจ้า”(City of God 2.3; 3.1) ความมืดของยุคขัดแย้งกับแสงสว่างของการเสด็จมาของพระบุตรของพระเจ้า และในประเด็นนี้ เหล่าอัครปิตาจารย์ ได้ย้ำถึงหัวข้อที่ประกาศครั้งแรกในพลังแห่งช่วงเวลาในช่วงท้ายของพันธสัญญาเดิม จักรวรรดิเปอร์เซียอันกว้างใหญ่เรืองอำนาจไปทั่วตะวันออกกลาง และแผ่นดินยูดาห์เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของมณฑลที่ยิ่งใหญ่ รัฐบาลใหม่และแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง จักรวรรดิโรมันที่กว้างใหญ่เหมือนกันแต่มีฐานอำนาจอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นผู้ควบคุมในหน้าเริ่มต้นของพันธสัญญาใหม่ ระหว่างจักรวรรดิเปอร์เซียและโรมัน อิสราเอลเข้ามา ภายใต้การปกครองของอาณาจักรเฮเลนิสติก (หรือที่ได้รับอิทธิพลจากกรีก) ของอาณาจักรอเล็กซานเดอร์มหาราชและรัฐสืบต่อทางตะวันออก อาณาจักรปโตเลมีก (มีฐานอยู่ในอียิปต์) และอาณาจักรเซลิวซิด (มีฐานอยู่ในซีเรีย) และเป็นเวลาประมาณหนึ่งร้อยปี อิสราเอลดำรงอยู่ในฐานะประเทศเอกราช แม้ว่าจะไม่อยู่ในบันทึกในพระคัมภีร์ แต่ปีเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สถาบันทางการเมืองและศาสนาหลายแห่งในพันธสัญญาใหม่ รวมทั้งแนวคิดทางปัญญาและจิตวิญญาณได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงเวลานี้เหตุการณ์ทางการเมืองในโลกที่กว้างขึ้นหล่อหลอมชีวิตชาวยิวในหลายๆ ด้าน ในปาเลสไตน์ ชาวยิวได้รับผลกระทบอย่างมากจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในอียิปต์และซีเรีย อเล็กซานเดอร์พ่ายแพ้ต่อกองทัพเปอร์เซียที่อีสซุสในปี 333 ก่อนคริสต์ศักราช เปิดทางไปสู่ชัยชนะของซีเรีย ปาเลสไตน์ และอียิปต์ เป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษหลังจากที่เขาเสียชีวิตในปี 323 ก่อนคริสต์ศักราช ปาเลสไตน์ถูกปกครองโดยทอเลมี ซึ่งเป็นเชื้อสายของกษัตริย์กรีกที่สืบเชื้อสายมาจากนายพลคนหนึ่งของอเล็กซานเดอร์ที่ประจำอยู่ที่อเล็กซานเดรียประเทศอียิปต์ จากนั้นในปี 198 ก่อนคริสต์ศักราช กษัตริย์ไหนราชวงศ์เซลูซิด ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากนายพลอีกคนหนึ่งของอเล็กซานเดอร์ ยึดอำนาจปกครองปาเลสไตน์และปกครองต่อจากเมืองอันทิโอกในซีเรีย จนกระทั่งชาวยิวก่อกบฏและได้รับเอกราชในที่สุดในปี 142 ก่อนคริสต์ศักราช ภายใต้การปกครองของปโตเลมี ชาวยิวมีเสรีภาพทางศาสนา แต่ผู้ปกครองของราชวงศ์เซลูซิดพยายามบังคับพวกกรีกและทำลายศาสนายูดายการจลาจลของชาวยิวที่ต่อต้านระบอบนอกรีตของ กรีก-ซีเรีย เริ่มขึ้นในเวลาที่แอนติโอคุสที่ 4 ส่งพระนามว่าแอนติโอคัส เอพิฟาเนส (175-164 ปีก่อนคริสตกาล) พยายามปราบปรามศาสนายิว เทศกาลของชาวฮีบรูและพิธีเข้าสุหนัตเป็นสิ่งต้องห้ามเนื่องจากความเจ็บปวดจากความตาย ในปี 167 ก่อนคริสต์ศักราช แอนติโอคัสได้ทำให้แท่นบูชาในพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มเป็นมลทินด้วยเนื้อสุกรและสถาปนาการบูชาโอลิมเปียนเซทส์ ความต่ำช้านี้ ("สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนแห่งความอ้างว้าง") ก่อให้เกิดการต่อสู้ที่ยาวนานและนองเลือดอย่างยิ่งระหว่าง จากช่วงเวลาที่ชาวยิวปกครองตนเองโดยสมบูรณ์ภายใต้ซีโมนในปี 142 ก่อนคริสต์ศักราช จนกระทั่งการพิชิตโดยชาวโรมันในปี 63 ก่อนคริสต์ศักราช ดินแดนเพิ่มเติมหลายแห่งถูกยึดครองและเพิ่มเข้าไปในรัฐฮัสโมเนียน กาลิลีกลายเป็นฐานที่มั่นของศาสนายูดาย แต่ชาวสะมาเรียซึ่งเป็นลูกหลานผสมของอาณาจักรทางตอนเหนือของอิสราเอล ต่อต้านการผสมกลมกลืนของชาวยิวและยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมไว้ ช่วงเวลาของการปกครองของฮัสโมเนียนหลังจากสมัยของไซมอนถูกทำเครื่องหมายด้วยความขัดแย้งและการวางอุบายที่ทำให้รัฐยิวอ่อนแอลงอย่างมาก ความเป็นปรปักษ์ระหว่างพวกสะดูสีและพวกฟาริสีรุนแรงขึ้นจนทั้งสองฝ่ายทำสงครามกันอย่างเปิดเผย เมื่อรัฐใกล้จะเกิดสงครามกลางเมือง แม่ทัพปอมปีย์ แห่งโรมันมองเห็นโอกาสที่จะแทรกแซงและรุกคืบผลประโยชน์ของโรมัน เขารุกรานปาเลสไตน์และยึดกรุงเยรูซาเล็มในปี 62 ก่อนคริสต์ศักราช รัฐยิวกลายเป็นจังหวัดหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน ซึ่งควบคุมปาเลสไตน์โดยอ้อมผ่านผู้ว่าการที่ได้รับการแต่งตั้ง ปอมปีย์ กลายเป็นเผด็จการในกรุงโรมในปี 52 ก่อนคริสต์ศักราช แต่พ่ายแพ้แก่ จูเลียสซีซาร์ ในปี 45 ก่อนคริสตกาล ซีซาร์ถูกปลงพระชนม์ในเวลาต่อมาและเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายทางการเมืองนี้ เฮโรด อันติปาเตอร์ ชาวไอดูเมียน (ชาวเอโดม) วางแผนอย่างชาญฉลาดในการก้าวขึ้นสู่อำนาจในแคว้นยูเดียและได้รับความโปรดปรานจากผู้ปกครองชาวโรมัน พระนางคลีโอพัตราที่ 7 แห่งอียิปต์ (51-30 ปีก่อนคริสตกาล) ได้ช่วยเหลือ แม่ทัพ มาร์ก แอนโธนีในการต่อสู้กับ ออกัสตัส แต่พ่ายแพ้ในการสงครามที่ออคเที่ยม ก่อนที่เขาจะพ่ายแพ้ แอนโทนีได้มอบตำแหน่งกิตติมศักดิ์ให้เฮโรดมหาราช บุตรชายของแอนตีปาเทอร์ ซึ่งก็คือ "กษัตริย์ของชาวยิว" ซึ่งชาวยิวส่วนใหญ่ไม่เคยยอมรับเพราะมรดกอิดูเมียของเฮโรด เนื่องจากเฮโรดมีบรรดาศักดิ์เป็น “กษัตริย์ของชาวยิว” เฮโรดจึงสั่งฆ่าเด็กทารกที่เบธเลเฮมเมื่อได้ยินรายงานเกี่ยวกับการประสูติของพระเมสสิยาห์ กษัตริย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของชาวยิวพัฒนาการทางการเมืองและวัฒนธรรมที่หล่อหลอมช่วงเวลานี้มีส่วนสำคัญต่อเรื่องราวดราม่าที่อธิบายไว้ในพระกิตติคุณและหนังสือกิจการ การเสด็จมาของพระเมสซิยาห์แห่งอิสราเอล การถูกปฏิเสธโดยชาติยิว และการกำเนิดและการเติบโตของคริสตจักรคริสเตียน ในช่วงหลายศตวรรษที่ปั่นป่วนตั้งแต่การพิชิตของอเล็กซานเดอร์มหาราช (336-323 ปีก่อนคริสตกาล) ไปจนถึงการรุกรานปาเลสไตน์โดยแม่ทัพปอมเปย์แห่งโรมัน (63 ปีก่อนคริสตกาล) บรรยากาศทางจิตวิญญาณได้พัฒนาขึ้นซึ่งเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์สำหรับการประกาศข่าวประเสริฐ  ในพระคัมภีร์ เพลงของมารีย์และเอลีซาเบธ (ลูกา 1:42-55) และคำเพยพระวจนะของเศคาริยาห์และสิเมโอน (ลูกา 1:68-79; 2:29-32) รวมถึงพันธสัญญาใหม่อื่นๆ อีกมากมาย การอ้างอิงถึงคำสัญญาของพระเมสสิยาห์ในพันธสัญญาเดิม (เปรียบเทียบ มัทธิว 4:14-16) แสดงให้เห็นอย่างน่าทึ่งถึงความปรารถนาของผู้คนทั่วไปที่ต้องการการปลดปล่อย อย่างไรก็ตาม เป็นความจริงที่พวกเขาหลายคน รวมทั้งสาวกของพระเยซูเอง คิดว่าการช่วยกู้ของพระเมสสิยาห์นี้เป็นเรื่องการเมืองเป็นหลักบรรยากาศทางจิตใจและจิตวิญญาณในสมัยนั้นขยายออกไปเกินกว่าความคาดหวังของศาสนทูตและความหวังของชาวยิว อันที่จริง ความหวังที่จะมีผู้ช่วยให้รอดก็เป็นลักษณะทั่วไปของโลกยุคโบราณเช่นกัน ตัวอย่างที่ยกมานี้มักมาจากกวีชาวละติน เวอจิล (70 ก่อนคริสต์ศักราช - ค.ศ. 19) ซึ่งในปี 40 ก่อนคริสต์ศักราช กล่าวถึงโลกว่า “โหยหาการปลดปล่อยผ่านการให้กำเนิดทารกบริสุทธิ์ในยุคทองในอนาคต” ( Ecologue 4:4-60) และโดยสัญลักษณ์ยกย่อง ออกัสตัส จักรพรรดิแห่งโรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้กอบกู้ที่รอคอยมานานระจายของวัฒนธรรมกรีก โลกเมดิเตอร์เรเนียนได้รับการแนะนำให้รู้จักกับวัฒนธรรมกรีกแล้ว ผ่านอาณานิคมหลายแห่งที่ชาวกรีกตั้งขึ้นเมื่อหลายศตวรรษก่อนอเล็กซานเดอร์ แต่จักรวรรดิเปอร์เซียนั้นใหญ่โต แปลกแยกจากวิถีชีวิตของชาวกรีก และเป็นศัตรูกับกรีก จากมุมมองของอเล็กซานเดอร์ มันจำเป็นต้องถูกพิชิตและเปลี่ยนไปนับถือศาสนากรีก แม้ว่าอาณาจักรมาซิโดเนียของอเล็กซานเดอร์จะดำรงอยู่ได้ไม่นาน แต่เขาก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในฐานะมิชชันนารีสำหรับวัฒนธรรมขนมผสมน้ำยา ในหลายศตวรรษหลังการปกครองของเขา อาณาจักรกรีกไม่เพียงก่อตั้งขึ้นในซีเรีย-ปาเลสไตน์และอียิปต์เท่านั้น แต่ยังขยายไปไกลถึงปากีสถานและอัฟกานิสถานสมัยใหม่ในเอเชียกลางด้วย  วัฒนธรรมกรีกนั้นก้าวหน้าที่สุดในโลก นำเสนอการผสมผสานที่มีเสน่ห์และซับซ้อนของวิทยาศาสตร์และปรัชญา โดยมีมรดกทางการเมือง ศาสนา วรรณกรรม สถาปัตยกรรม และศิลปะมากมาย สัมผัสที่สุดยอดมาจากเทศกาลกีฬาสาธารณะที่ยิ่งใหญ่ เชิดชูความอ่อนเยาว์และความสมบูรณ์แบบทางร่างกาย นักกีฬาในกีฬาโอลิมปิกและในเกมอื่น ๆ ได้รับการปฏิบัติเกือบเหมือนพระเจ้า ชาวโรมันชื่นชมและคัดลอกแง่มุมต่างๆ ของวัฒนธรรมกรีกในขณะเดียวกันก็ประกาศใช้อารยธรรมคลาสสิกตามแบบฉบับของตน ซึ่งรวมถึงองค์ประกอบแบบกรีกที่เข้มแข็ง ตัวอย่างเช่น เทพเจ้าแห่งโอลิมปิกได้รับการบูชาที่กรุงโรม แต่ใช้ชื่อละตินการมีอยู่อย่างแพร่หลายของวัฒนธรรมขนมผสมน้ำยา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งของภาษากรีก สำหรับชาวยิว คือกฎหมายและพระบัญญัติ สำหรับชาวกรีกมันเป็นความต้องการของวัฒนธรรมของเขา สำหรับชาวโรมัน โดยเฉพาะทหารหรือเจ้าหน้าที่ของโรมัน มันเป็นอำนาจของซีซาร์เอง มิติใหม่ถูกเพิ่มเข้าไปในความขัดแย้งทางวัฒนธรรมเมื่อศาสนจักรเกิดขึ้น สำหรับคริสเตียน สิทธิอำนาจของพวกเขาคือพระคริสต์ ไม่ใช่ซีซาร์ พวกเขากังวลเกี่ยวกับนิรันดรมากกว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตทางโลก พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาควรได้รับการกระตุ้นและควบคุมโดยพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่โดยประเพณี กฎหมาย สติปัญญา อารมณ์ หรือเจตจำนง ความสนใจของพวกเขามุ่งไปที่พระคัมภีร์ และเป้าหมายของพวกเขาคือการประกาศข่าวประเสริฐในบรรดาสถาบันทางศาสนาและการเมืองของชาวยิวที่สร้างขึ้นในช่วงระหว่างการทดสอบอันเป็นผลมาจากความตึงเครียดทางวัฒนธรรมนั้น มีกลุ่มทางศาสนาเช่น 1) พวกฟาริสี ซึ่งเป็นนิกายที่เคร่งครัดซึ่งต่อต้านลัทธิเฮลเลนิสม์ ยืนกรานที่จะเชื่อฟังกฎหมายและความบริสุทธิ์ทางศาสนาอย่างยิ่ง 2) พวกสะดูสี กลุ่มชนชั้นสูงที่สนับสนุนฐานะปุโรหิตในกรุงเยรูซาเล็มและควบคุมการนมัสการในพระวิหาร 3) อาลักษณ์ กลุ่มนักศึกษาวิชาชีพพระพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ 4) และ อัสซีนกลุ่มนักพรตที่ผลิต “ม้วนหนังสือทะเลตาย” แต่ไม่ได้เอ่ยชื่อในพันธสัญญาใหม่ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มการเมืองเช่น 5) ซีลอต ซึ่งต่อต้านการปกครองของโรมันอย่างบ้าคลั่ง6) คนเก็บภาษีที่จ่ายเงินให้ชาวโรมันเพื่อโอกาสในการเก็บภาษีและเก็บภาษีมากเกินไปเพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากเพื่อนร่วมชาติ 7) และกลุ่มเฮโรด ผู้สนับสนุนและสมัครพรรคพวกของกษัตริย์เฮโรดที่กระตือรือร้นในการรับรองวัฒนธรรมโรมันร่องรอยของความตึงเครียดเหล่านี้ปรากฏในหน้าของพันธสัญญาใหม่ ตัวอย่างเช่น สาวกคนหนึ่งของพระเยซูเป็นพวกชาตินิยม และทั้งพระเยซูและอัครสาวกเปาโลขัดแย้งกันหลายครั้งกับพวกฟาริสีและสะดูสี ดังนั้นโลกในพันธสัญญาใหม่จึงจมอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางวัฒนธรรมกรีก-ยิว ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้ว วัฒนธรรมเฮเลนิสติกและการดัดแปลงจากโรมันกวาดล้างทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า การเมือง ปรัชญา การศึกษา วรรณกรรม ศิลปะ สถาปัตยกรรม ความบันเทิง; แม้แต่รูปแบบการแต่งกายและอาหารของชาวยิวก็ได้รับอิทธิพลมาจากชาวกรีก และในโลกนี้ที่พระเยซู พระเมสสิยาห์เสด็จมา   แม้จะมีการหยุดพักทางประวัติศาสตร์ แต่เวลาสี่ศตวรรษระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ก็มีพัฒนาการที่สำคัญเพื่อความเข้าใจภูมิหลังและประเด็นต่างๆ ของพันธสัญญาใหม่ เห็นได้ชัดว่าพระเจ้ากำลังทำงานในประวัติศาสตร์ อัครสาวกเปาโลสรุปช่วงเวลาทั้งหมดได้อย่างยอดเยี่ยมในกาลาเทีย 4:4 เมื่อเขากล่าวว่า “4แต่เมื่อครบกำหนดแล้วพระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ประสูติจากสตรีเพศและทรงถือกำเนิดใต้ธรรมบัญญัติ” หมายความว่าเมื่อถึงเวลาที่ถูกต้องในแง่ของประวัติศาสตร์โลก พระเยซูคริสต์ทรงบังเกิด เมื่อความหวังของพระเมสสิยาห์ของชาวยิวที่แสดงออกมาอย่างยาวนานสำเร็จในที่สุด พระคริสต์และผู้ติดตามพระองค์สามารถประกาศข่าวประเสริฐในโลกที่เปิดกว้างทางการเมือง วัฒนธรรม ปรัชญา เศรษฐกิจ และจิตวิญญาณ

วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ดินแดนแห่งโลกพระคัมภีร์ โดย ศรีธนต์ เยาว์ธานี

ประเทศอียิปต์

        แผ่นดินอียิปต์หรือที่ขนานนามในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า" เอฟรายิม"เป็นดินแดนที่มีความสวยงามรุ่งเรืองไปด้วยอารยะธรรมเก่าแก่มาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล 2,000 ปี

        อียิปต์ได้รับการขนานนามว่า "ของประทานแห่งแม่น้ำไนล์"ที่ไหลจากประเทศเอธิโอเปีย ไหลไปสู่ตอนเหนือสู่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ชาวอียิปต์เรียกตนเองว่า "คอปต์"และชาว  กรีกเรียกอียิปต์ว่า "อายคุปโตส"

        ชนชาติอิสราเอลได้อพยพเข้าไปสู่อียิปต์ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลในสมัยที่โยเซฟบุตรยาโคบได้ดำรงค์ตำแหน่ง "มหาอุปราชแห่งฟาโรห์"โดยมีชื่อปรากฎว่า "ซาเฟนาทพานีอา" โดยชาวอิสราเอลตั้งรกรากอยู่ที่เมืองโกเชน

        มาจนถึงสมัยของเผ่าฮีคโซสมีอำนาจในการปกครองอียิปต์ในรัชสมัยของ "ราเมเสสที่2"พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกว่า "ฟาโรห์องค์ใหม่นี้ไม่รู้จักโยเซฟ  และประชากรชาวอิสราเอลในแผ่นดินอียิปต์เพิ่งจำนวนทวีคูณในช่วงเวลา 430 ปี

        ต่อมาได้เกิดการกดขี่ชนชาติอิสราเอลให้เป็นกรรมกรทาส และการกำเนิดของ "โมเสส"บุตรของอัมราม และ โยเคเบด เผ่าเลวี ได้เป็นผู้นำในการปลดปล่อย และนำชาวอิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์โดยเดินทางข้ามทะเลแดง และทะเลทรายซีนาย โดยมีเป้าหมายในการไปตั้งรกรากใน"แผ่นดินแห่งพันธสัญญา" หรือแผ่นดินคานาอัน คลื่นการอพยพใช้เวลานานถึง 40 ปี

         ในพันธสัญญาใหม่ โยเซฟ และ มาเรีย ได้พาพระกุมารเยซูหลบหนีภัยประหารของเฮโรดไปอยู่ที่ประเทศอียิปต์