ในการก่อสร้่างใดๆก็ตามเบื้องต้นต้องมีการออกแบบสิ่งที่เราต้องการก่อสร้างนั้นบนพิมพ์เขียวโดยอาศัยการช่วยเหลือของสถาปนิกและหลังจากนั้นก็จะนำไปผ่านมือนักเขียนแบบที่จะนำรายละเอียดของแบบทั้งหมดมาเขียนลงบนพิมพ์เขียวเิพื่อกำหนดข้อปลีกย่อยของโครงสร้่างและขั้นตอนของชิ้นงาน จนในที่สุดผ่านการตรวจรับรองของวิศกวกรโยธาและผู้รับเหมาก่อสร้่าง
คำถามของคริสตจักรในยุคปัจจุบันก็คือว่า "เราจะสร้่างคริสตจักรแบบไหนที่ดีที่สุด" นานนับหลายศตวรรษทีี่คริสตจักรในโลกนี้แสวงหาคำตอบนี้โดยกำหนดรูปแบบของตนขึ้นมา จากคริสตจักรในยุคอัครสาวก มาถึงยุคกลางและในยุคปัจจุบัน หลังจากมารตินลูเธอร์นักปฏิรูปคนสำคัญได้กำเนิดนิกายโปรเตสแตนด์ในศตวรรษที่ 15 ซึ่งเราเชื่อว่านี่คือยุคของ "ฟีลาเดลเฟีย"หรือไฟแห่งการฟื้นฟูที่มาพร้อมการปฏิรูป ในปราสาทเมืืองแซกโซนี่ มาร์ตินลูเธอร์ได้แปลพระคัมภีร์จากภาษาลาตินเป็นภาษาเยอรมันตามมาด้วยการกำเนิดของนิกายโปรเตสแตนด์ซึ่งเป็นนิกายใหม่อันดับสามของคริสตศาสนานอกเหนือไปจาก นิกายโีรมันแคธอลิค และ นิกายกรีกออโธดอกซ์ ที่มีอยู่ก่อน ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนด์เป็นเสมือนต้นไม้ที่เติบโตแตกกิ่งออกไปอย่่างกว้่างใหญ่ไพศาลบนแผ่นดินทวีปยุโรป มีนิกายใหม่เช่นนิกายลูเธอแรน เมโธดิสต์ แบ๊พติสต์ รีฟอร์มเชิช ยูไนเดตเชิช เพรสไบทีเรียน แองคลิกัน และ เพ็นเทค้อสต์ แลพอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน การกำเนิดนิกายคือเจตนารมณ์ของการแสวงหารูปแบบของคริสตจักรว่าอันไหนที่เป็นทางสายกลางและทางสายใหม่ที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุดสำหรับคริสตชน
หลายพันปีมาแล้วพระเจ้าทรงกำหนดรูปแบบของคริสตจักรไว้เป็นครั้งแรกในทะเลทรายซีนายโดยทรงบัญชาให้โมเสสสร้าง "พลับพลา"และกำหนดให้พลับพลานั้นเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจฝ่ายจิตวิญญาณของชนชาติอิสราเิอลประชากรของพระองค์และพลับพลานี้คือเงาหรือ "พิมพ์เขียว"ของคริสตจักรฝ่ายวิญญาณ "invisible church"อย่างทีหนังสือฮีบรูอธิบายว่า "โดยเหตุที่ธรรมบัญญัติเป็นแต่เพียงเงาของสิ่งประเสริฐที่จะมาในภายหลังมิใช่ตัวจริง"(ฮีบรูว์ 10:1)
องค์ประกอบหลักของพลับพลาประกอบด้่วย(1)สถานที่หรือตัวพลับพลา(1)อาณาเขตของพลับพลา และ (3)ของใช้สัญญาลักษณ์ในพลับพลา
(1)สถานที่และตัวของพลับพลา
พระเจ้าทรงกำหนดให้พลับพลาตั้งไว้ในท่ามกลางค่ายพักของชนชาติอิสราเอลสือความหมายว่า "พระเจ้าทรงประทับอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์เสมอ" ในความหมายนี้คือ คริสตจักรจะต้องเป็นของพระเจ้าเท่านั้น และพระองค์ทรงเป็นศูนย์กลางของประชากร "พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักร"(เอเฟซัส 5:23) ก่อนหน้าที่มาร์ตินลูเํธอร์จะทำการปฏิรูปนั้น คริสตจักรโีรมันแคธอลิคเชื่อว่าโป๊ปคือศีรษะและศูนย์กลางของคริสตจักรคำตรัสของโป๊ปตอนนั่งบนบัลลังก์ ex cathedral ให้ถือเสมือนว่าพระเจ้าตรัสซึ่งเป็นคำสอนที่ผิดอย่างมาก ดังนั้นคริสตจักรต้องตระหนักว่าศิษยาภิบาลไม่ใช่ศูนย์กลางของคริสตจักร "ในท่ามกลางคันประทีปเหล่านั้นมีผู้หนึ่งเหมือนกับบุตรมนุษย์"(วิวรณ์ 1:13) ในพระธรรมวิวรณ์บุตรมนุษย์หรือพระเยซูคริสต์ทรงประทับเป็นศูนย์กลางของคันประทีปอันได้แก่คริสตจักร
ตัวของพลับพลา ทำด้วยวัศดุขนาดเบาสามารถตั้ง รื้อ และ เคลิ่อนที่ไปตามประชากรของพระเจ้าตลอดเวลาทีอยู่ในทะเลทราย สือความหมายว่าคริสตจักรนั้นสามารถปรับตัวได้ตามกาลสมัยและต้องเคลื่อนที่ไปตามการการทรงนำของพระเจ้า คริสตจักรจะต้องไม่ถูกควบคุมด้วยธรรมนูญหรือข้อบังคับจนเป็นโครงการสร้่างที่มีขนาดใหญ่ถาวรจนแก้ไขไม่ได้ เรื่องนี้สะท้อนสภาพของคริสตจักรในยุโรปปัจจุบัน ตอนที่ผู้เขียนเดินทางไปประชุมสภาสมัชชาว่าด้วยการเผนแพร่ข่าวประเสริฐ ณกรุงอัมสเตอร์ดามประเทศเนเธอรฺ์แลนดฺ์เมื่อปี 1983 นั้น ศิษยาภิบาลชาวดัชท์ท่่าหนึ่งกรุณาพาไปชมโบสถ์เก่าๆหลายแห่งที่ขายให้เป็นสุเหร่าของอิสลาม(หมายความว่ามีโบสถ์ที่ปราศจากคริสตจักรหรือปราศจากผู้เชื่อ)
บริเวณภายนอก อันเป็นที่ตั้งของขันน้ำสาครอันเป็นที่ชำระล้างร่างกายของชาวเลวีก่อนที่จะเข้าไปสู่ภายในห้องบริสุทธิ์ บริเวณภายนอกของพลับพลานั้นยังมีแท่นเผาสัตวบูชา ด้วย ที่เล็งถึงการกลับใจบังเกิดใหม่ การตายแก่ตนจากชีวิตดั้งเดิม การเข้าสู่พิธีบัพติสมาในน้ำ
ห้องบริสุทธิ์ คือชีวิตประจำวันของคริสตชนอันประกอบด้วย 1. คันประทีปที่มีเจ็ดช่อ(เชิงตะเกียง)ที่ประกอบด้วยขาทองสัมฤทธิ์ที่แยกออกเป็นประทีบ 7 ช่อ แต่ละช่อตรงปลายจะมีที่เติมน้ำมันและมีไส้ตะเกียงที่ต้องจุดสว่างไว้ตลอด ชาวเลวีจะต้องเติมน้ำมันหอมลงในแอ่งน้ำมันที่เชื่อมโยงไปที่ไส้ตะเกียงและชาวเลวีต้องตัดไส้ตะเกียงให้เสมอทุกวันป้องกันไม่ให้ไฟมอดลง คันประทีปหมายถึงคริสตจักรขององค์พระเยซูคริสต์ที่ต้องเป็นความสว่างในโลกและต้องรักษาการกระทำดีต่อหน้าคนทั้งปวง และน้ำมันที่เติมตะเกียงคือการเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 2.โต๊ะขนมปังหน้าพระพักตร ต้องเป็นขนมปังที่่สดใหม่เสมอและต้องเปลี่ยนทุกวัน หมายถึงพระวจนะของพระเจ้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน และ(3)กระถางถ่านไฟสำหรับโปรยเผาเครื่องหอม อันหมายถึงชีวิตของการอธิษฐานที่จะขาดไม่ได้
ห้องบริสุทธิ์ที่สุด ห้องนี้ถูกปิดไว้ด้วยม่านและมหาปุโรหิตเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปได้ปีละ 1 หน แทนประชากรของพระเจ้าเพื่อจะนำเลือดของแกะเข้าไปประพรมที่พระที่นั่งแห่งพระกรุณาขอการไถ่โทษบาปของประชากร ที่วางหีบพันธสัญญาอันสื่อความหมายว่าพระเจ้าทรงประทับในท่ามกลางประชากรของพระองค์เสมอ ในหีบพระสัญญานั้นข้างในบรรจุศิลาจารึกบัญญัติ 10 ประการ โถทองคำใส่มานา และ ไม้เท้าของอาโรนที่ออกช่อได้ เมื่อมีการเคลื่อนทัพของชนชาติอิสราเอล หีบพระสัญญาต้องนำอยู่ด้าหน้าเสมอ
บริเวณภายนอก อันเป็นที่ตั้งของขันน้ำสาครอันเป็นที่ชำระล้างร่างกายของชาวเลวีก่อนที่จะเข้าไปสู่ภายในห้องบริสุทธิ์ บริเวณภายนอกของพลับพลานั้นยังมีแท่นเผาสัตวบูชา ด้วย ที่เล็งถึงการกลับใจบังเกิดใหม่ การตายแก่ตนจากชีวิตดั้งเดิม การเข้าสู่พิธีบัพติสมาในน้ำ
ห้องบริสุทธิ์ คือชีวิตประจำวันของคริสตชนอันประกอบด้วย 1. คันประทีปที่มีเจ็ดช่อ(เชิงตะเกียง)ที่ประกอบด้วยขาทองสัมฤทธิ์ที่แยกออกเป็นประทีบ 7 ช่อ แต่ละช่อตรงปลายจะมีที่เติมน้ำมันและมีไส้ตะเกียงที่ต้องจุดสว่างไว้ตลอด ชาวเลวีจะต้องเติมน้ำมันหอมลงในแอ่งน้ำมันที่เชื่อมโยงไปที่ไส้ตะเกียงและชาวเลวีต้องตัดไส้ตะเกียงให้เสมอทุกวันป้องกันไม่ให้ไฟมอดลง คันประทีปหมายถึงคริสตจักรขององค์พระเยซูคริสต์ที่ต้องเป็นความสว่างในโลกและต้องรักษาการกระทำดีต่อหน้าคนทั้งปวง และน้ำมันที่เติมตะเกียงคือการเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 2.โต๊ะขนมปังหน้าพระพักตร ต้องเป็นขนมปังที่่สดใหม่เสมอและต้องเปลี่ยนทุกวัน หมายถึงพระวจนะของพระเจ้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน และ(3)กระถางถ่านไฟสำหรับโปรยเผาเครื่องหอม อันหมายถึงชีวิตของการอธิษฐานที่จะขาดไม่ได้
ห้องบริสุทธิ์ที่สุด ห้องนี้ถูกปิดไว้ด้วยม่านและมหาปุโรหิตเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปได้ปีละ 1 หน แทนประชากรของพระเจ้าเพื่อจะนำเลือดของแกะเข้าไปประพรมที่พระที่นั่งแห่งพระกรุณาขอการไถ่โทษบาปของประชากร ที่วางหีบพันธสัญญาอันสื่อความหมายว่าพระเจ้าทรงประทับในท่ามกลางประชากรของพระองค์เสมอ ในหีบพระสัญญานั้นข้างในบรรจุศิลาจารึกบัญญัติ 10 ประการ โถทองคำใส่มานา และ ไม้เท้าของอาโรนที่ออกช่อได้ เมื่อมีการเคลื่อนทัพของชนชาติอิสราเอล หีบพระสัญญาต้องนำอยู่ด้าหน้าเสมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น