วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2566

เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย

 

เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย(1)
หากเราจะเล่าเรื่องราวของชนชาติอิสราเอลมันดูประหนึ่งนิยาย แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ชาวโลกต้องยอมรับและไม่อาจปฎิเสธได้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้จดเรื่องราวที่สะท้อนรากฐานของชนเผ่า "เสมิติค"เผ่าฮีบรู ผู้มีถิ่นกำเนิดและมีรากเง่าในนครอูร์ อาณาจักรแคลเดีย ตอนเหนือของอ่าวเปอร์เซียเมื่อก่อนคริสตกาล 1,800 ปี
บรรพบุรุษคนสำคัญของชนชาติฮีบรูคนสำคัญคือ เทราห์ ผู้มีบุตรชื่อ อับราม นาโฺฮร์ และ ฮาราน ได้นำชาวฮีบรูกลุ่มหนึ่งอพยพครั้งใหญ่ออกจากนครเออร์มุ่งหน้าไปยังนครฮาราน ซึ่งอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของของดินแดนเมโสโปเตเมีย หรืออาณาบริเวณพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวฝากตะวันตกของแม่น้ำไทกริส และแม่น้ำยูเฟรติส "เทราห์ก็พาอับรามบุตรของตนกับโลทหลานชาย คือบุตรของฮารานและนางซารายบุตรสะใภ้ คือภรรยาของอับราม ออกจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย จะเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน แต่เมื่อเขาทั้งหลายมาถึงเมืองฮารานแล้วก็อาศัยอยู่ที่นั่น"
 
 

 

เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย(2)ดินแดนสมบูรณัฐจันทร์ "ดินแดนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว(The Fertile 

Crescent) เป็นดินแดนที่มีควา,อุดมสมบูรณ์ได้รับการพรรณาใน

พระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "ดินแดนที่อาบด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง"และใน

ดินแดนดังกล่าวนี้มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า "ดินแดนแห่งพระสัญญา"

(The Promised Land) "

1พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า "เจ้าจงออกจากเมืองจากญาติพี่น้องจาก

บ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้"ดินแดน

สมบูรณัฐจันทร์เป็นส่วนโค้งของภูมิภาคเริ่มต้นจากตอนเหนือของอ่าว

เปอร์เซียขึ้นไปถึงตอนใต้ของประเทศเตอรกีแล้วลากเส้นดื่งลง

มาตามแนวชายฝั่งของทะเลเมดิเตอรเรเนี่ยนลงไปทางทิศใต้ถึง

สามเหลื่ยมปากแม่น้ำไนล์ของอียิปต์โบราณนอกจากนี้ดินแดน

สมบูรณัฐจันทร์ยังเป็นทำเลที่ตั้งของอาณาจักรโบราณเก่าแก่

ที่รุ่งเรืองด้วยอารยะธรรม เช่นอัคคาเดียน สูเมอเรียน บาบิโลน 

เปอร์เซีย นักประวัติศาสตร์ขนานนามว่า "ชิน่าร์"หรือ"เมสโสโปเตเมีย"

(แผ่นดินที่รอบไปด้วยน้ำ"หรืออาจจะหมายถึงอารยะธรรมของลุ่ม

แม่น้ำไททริสและยูเฟติสที่ได้ชื่อว่า "อู่อารยะธรรมของมวลมนุษยชาติ"

(Cradle of Human Civilization)ดินแดนสมบูรณัฐจันทร์ยังเป็น

ถิ่นกำเนิดของเผ่าเสมิติคได้แก่ อัคคาเดียน คาลเดียน  บาบิโลเนียน

 อัสซีเรียน อาโมเรียน  อาราเมียน ฟินิเซียน อาหรับ ฮีบรู 

นาบาเทียน ซีเรียน ฮีคโซส อียิปต์ เอธิโอเปีย และ ยูการิคส่วนเทรา

 และ บุตรของตนเป็นชนเผ่าฮีบรู ที่มาจากอนครเออร์ อาณาจักร

แคลเดีย และย้ายมาตั้งรกรากแห่งแรกที่ "นครฮาราน"บนถนนสาย

สำคัญที่เชื่่อม 3 ทวีปคือ เอเซียตะวันออกกลาง เอเซียกลาง และ

อาฟริกา ถนนสายนี้ชื่อว่า"เวียมาริส"(via maris)






วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2566

400 ปี ระหว่างมาลาคี ถึง มัทธิว

 เวลาระหว่างงานเขียนสุดท้ายของพันธสัญญาเดิมกับการปรากฏของพระคริสต์เรียกว่าช่วง “ระหว่างพันธสัญญา” (หรือ “ระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่”) เรื่องนี้กินเวลาตั้งแต่สมัยของมาลาคี (ประมาณ 400 ปีก่อนคริสตกาล) จนถึงการเทศนาของยอห์นผู้ให้บัพติศมา (ประมาณปี ค.ศ. 25) เนื่องจากไม่มีคำพยากรณ์จากพระเจ้าในช่วงตั้งแต่มาลาคีถึงยอห์น บางคนจึงเรียกช่วงเวลานี้ว่า “400 ปีแห่งความเงียบงัน” บรรยากาศทางการเมือง ศาสนา และสังคมของอิสราเอลเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงเวลานี้ ผู้เผยพระวจนะดาเนียลพยากรณ์เหตุการณ์ส่วนใหญ่ไว้ (ดูดาเนียลบทที่ 2, 7, 8 และ 11 และเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์)

อิสราเอลอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิเปอร์เซียประมาณ 532–332 ปีก่อนคริสตกาล ชาวเปอร์เซียอนุญาตให้ชาวยิวนับถือศาสนาของตนโดยแทบไม่มีการแทรกแซงใดๆ พวกเขาได้รับอนุญาตให้สร้างใหม่และนมัสการที่พระวิหาร (2 พงศาวดาร 36:22–23; เอสรา 1:1–4) ช่วงเวลานี้รวมช่วง 100 ปีสุดท้ายของช่วงพันธสัญญาเดิมและประมาณ 100 ปีแรกของช่วงระหว่างพันธสัญญาด้วย ช่วงเวลาแห่งความสงบและความพึงพอใจครั้งนี้เป็นเพียงความสงบก่อนเกิดพายุ

ก่อนยุคระหว่างพันธสัญญา อเล็กซานเดอร์มหาราชเอาชนะดาริอัสแห่งเปอร์เซีย และนำการปกครองของกรีกมาสู่โลก อเล็กซานเดอร์เป็นลูกศิษย์ของอริสโตเติลและได้รับการศึกษาอย่างดีในด้านปรัชญาและการเมืองกรีก อะเล็กซานเดอร์เรียกร้องให้มีการส่งเสริมวัฒนธรรมกรีกในทุกดินแดนที่พระองค์ยึดครอง ด้วยเหตุนี้ พันธสัญญาเดิมภาษาฮีบรูจึงได้รับการแปลเป็นภาษากรีก และกลายเป็นคำแปลที่เรียกว่าพระคัมภีร์ฉบับเซฟตัวจินต์การอ้างอิงถึงพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมในพันธสัญญาใหม่ส่วนใหญ่ใช้ถ้อยคำพระคัมภีร์ฉบับเซฟตัวจินอเล็กซานเดอร์ยอมให้เสรีภาพทางศาสนาแก่ชาวยิว แม้ว่าเขายังคงส่งเสริมวิถีชีวิตชาวกรีกอย่างแข็งขันก็ตาม นี่ไม่ใช่เหตุการณ์พลิกผันที่ดีสำหรับอิสราเอล เนื่องจากวัฒนธรรมกรีกเป็นแบบโลก มีมนุษยธรรม และอธรรม

หลังจากที่อเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ แคว้นยูเดียก็ถูกปกครองโดยผู้สืบทอดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไปสิ้นสุดที่กษัตริย์เซลูซิด อันติโอคัส เอปิฟาเนส อันติโอคัสทำมากกว่าปฏิเสธเสรีภาพทางศาสนาแก่ชาวยิว ประมาณ 167 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ทรงล้มล้างแนวปฏิบัติอันชอบธรรมของฐานะปุโรหิตและทำลายพระวิหาร ทำให้มีมลทินด้วยสัตว์ที่ไม่สะอาดและแท่นบูชานอกรีต (ดู มาระโก 13:14 สำหรับเหตุการณ์ที่คล้ายกันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต) การกระทำของอันติโอคัสเทียบเท่ากับการข่มขืนทางศาสนา ในที่สุด การต่อต้านของชาวยิวต่ออันติโอคัสซึ่งนำโดยยูดาส มักคาบิวส์และชาวฮัสโมเนียน ได้ฟื้นฟูปุโรหิตโดยชอบธรรมและกอบกู้พระวิหารได้ ช่วงเวลาของการปฏิวัติแมคคาบีนเป็นช่วงหนึ่งของสงคราม ความรุนแรง และการต่อสู้ประจัญบาน

ประมาณ 63 ปีก่อนคริสตกาล ปอมเปย์แห่งโรมพิชิตอิสราเอล ทำให้แคว้นยูเดียทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของซีซาร์ ในที่สุดสิ่งนี้ทำให้เฮโรดถูกแต่งตั้งเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นยูเดียโดยจักรพรรดิโรมันและวุฒิสภา นี่คือประเทศที่เก็บภาษีและควบคุมชาวยิวและประหารพระเมสสิยาห์บนไม้กางเขนของโรมันในที่สุด ปัจจุบันวัฒนธรรมโรมัน กรีก และฮีบรูได้ผสมผสานกันในแคว้นยูเดีย

ในช่วงการยึดครองของชาวกรีกและโรมัน กลุ่มการเมือง/ศาสนาที่สำคัญสองกลุ่มได้ถือกำเนิดขึ้นในอิสราเอล พวกฟาริสีเพิ่มกฎของโมเสสผ่านประเพณีปากเปล่าและท้ายที่สุดถือว่ากฎของพวกเขาเองสำคัญกว่ากฎของพระผู้เป็นเจ้า (ดู มาระโก 7:1–23) แม้ว่าคำสอนของพระคริสต์มักจะเห็นด้วยกับพวกฟาริสี แต่พระองค์ทรงตำหนิการเคร่งครัดอันไร้เหตุผลและการขาดความเห็นอกเห็นใจของพวกเขา พวกสะดูสีเป็นตัวแทนของขุนนางและผู้มั่งคั่ง พวกสะดูสีซึ่งใช้อำนาจผ่านสภาซันเฮดริน ปฏิเสธหนังสือทั้งหมดยกเว้นหนังสือโมเสสในพันธสัญญาเดิม พวกเขาปฏิเสธที่จะเชื่อเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์และโดยทั่วไปเป็นเพียงเงาของชาวกรีกที่พวกเขาชื่นชมอย่างมาก

เหตุการณ์ต่างๆ ในยุคระหว่างพินัยกรรมได้ปูทางไปสู่พระคริสต์และมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชาวยิว ทั้งชาวยิวและคนต่างศาสนาจากประเทศอื่นเริ่มไม่พอใจศาสนา คนต่างศาสนาเริ่มตั้งคำถามถึงความถูกต้องของการนับถือพระเจ้าหลายองค์ ชาวโรมันและชาวกรีกถูกดึงออกมาจากเทพนิยายของพวกเขาไปสู่พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู ซึ่งปัจจุบันเข้าถึงได้ง่ายในภาษากรีกหรือละติน อย่างไรก็ตามชาวยิวก็รู้สึกท้อแท้ พวกเขาถูกพิชิต ถูกกดขี่ และแปดเปื้อนอีกครั้งหนึ่ง ความหวังกำลังจะหมดลง ศรัทธาก็ยิ่งต่ำลง พวกเขามั่นใจว่าขณะนี้สิ่งเดียวที่สามารถช่วยพวกเขาและศรัทธาของพวกเขาได้คือการปรากฏของพระเมสสิยาห์ ผู้คนไม่เพียงเตรียมพร้อมและเตรียมพร้อมสำหรับพระเมสสิยาห์เท่านั้น แต่พระเจ้าทรงเคลื่อนไหวในวิธีอื่นเช่นกัน ชาวโรมันได้สร้างถนน (เพื่อช่วยเผยแพร่ข่าวประเสริฐ); ทุกคนเข้าใจภาษากลาง Koine Greek (ภาษาในพันธสัญญาใหม่); และมีสันติสุขและเสรีภาพในการเดินทางพอสมควร (ช่วยเผยแพร่พระกิตติคุณเพิ่มเติม)

พันธสัญญาใหม่บอกเล่าเรื่องราวที่มาของความหวัง ไม่เพียงแต่สำหรับชาวยิวเท่านั้นแต่สำหรับทั้งโลกด้วย ความสัมฤทธิผลตามคำพยากรณ์ของพระคริสต์เป็นที่คาดหวังและเป็นที่ยอมรับจากหลายๆ คนที่แสวงหาพระองค์ เรื่องราวของนายร้อยชาวโรมัน พวกนักปราชญ์ และฟาริสีนิโคเดมัสแสดงให้เห็นว่าพระเยซูได้รับการยอมรับจากผู้คนจากหลายวัฒนธรรมอย่างไร “400 ปีแห่งความเงียบงัน” ของช่วงระหว่างพินัยกรรมถูกทำลายลงด้วยเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยบอกเล่า—พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

หนังสิอ 1-2 แมคคาบี

 เรื่องราวของหนังสือแมคคาบีฉบับที่ 1 เป็นเรื่องราวที่ปรากฎในช่วงเวลา 400 ปี(ช่วงเงียบ)ระหว่างสมัยของ มาลาคี และ มัทธิว เป็นปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์การกอบกู้ชาติยิวส์ภายใต้การกดขี่ของกษัตริย์กรีกหลายองค์โดยเฉพาะจาก แอนติโอคัส อีพิฟานี่ กษัตริย์กรีกเหล่านี้มีต้นกำเนิดมาหลังจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ราวปี พ.ศ.222  


และแม่ทัพกรีกหลายคนได้สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ ปกครองหลายพื้นที่ในเอเซียน้อย 

     ในบลอกนี้ ขออนุญาติลิงค์ข้อมูลไปยังเว้ปไซต์เผยแพร่ธรรมของสมาคมคาธอลิคแห่งประเทศไทยที่นำเสนอ 1-2 แมคคาบี จากพระคัมภีร์ฉบับอธิกธรรม ขอเชิญติดตามอ่านครับ





 

 

 

 



วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ช่วงเงียบ 400 ปี ระหว่างพันธสัญญา

                           400 ปีแห่งความเงียบ

          ระหว่างพันธสัญญาเดิม และ พันธสัญญาใหม่ แม้จะถูกเรียกว่า “400 ปีแห่งความเงียบงัน” แต่ช่วงเวลาหลายศตวรรษระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่กลับมีแต่ความเงียบสงบ พวกเขาเต็มไปด้วยเสียงกองทัพเดินทัพและเสียงดาบปะทะกัน                         อิสราเอลยุติการเป็นประเทศเอกราชในปี 586 ก่อนคริสต์ศักราช แต่ความปรารถนาของประชาชนของพระเจ้าในการฟื้นฟูประเทศและการปลดปล่อยของพระเมสสิยาห์ได้ทวีความรุนแรงขึ้นภายใต้นโยบายที่กดขี่ของประเทศผู้ปกครอง สิ่งที่ขาดหายไปและด้วยเหตุนี้จึง "เงียบ" คือเสียงของคำพยากรณ์ซึ่งให้ความกระจ่างแก่ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลตั้งแต่สมัยของโมเสส ในช่วงเวลาอันยาวนานตั้งแต่ซามูเอลลงไปจนถึงมาลาคี บุคคลสูงตระหง่านอย่างเอลียาห์ อิสยาห์ และเยเรมีย์ได้ประกาศอยู่เสมอว่า “พระเจ้าตรัสดังนี้” ผู้เผยพระวจนะเป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของประเทศภายใต้อำนาจของพระเจ้า ตอนนี้เสียงของพวกผู้เผยพระวจนะเงียบลงกิจกรรมทางศาสนาและงานเขียนที่ “ศักดิ์สิทธิ์” ไม่ได้ยุติลงพร้อมกับคำสวยพระวจนะของมาลาคี หลังจากปิดพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมไม่นานก่อน 400 ปีก่อนคริสต์ศักราช รายชื่องานเขียนที่ไม่เปิดเผยของชาวยิวทั้งหมดปรากฏขึ้น ซึ่งบางชิ้นพบทางเข้าสู่พระคัมภีร์ฉบับภาษาละตินจากพื้นฐานของท่านเจโรม (ประมาณ ค.ศ. 380) และหลังจากสภาเมืองเทรนต์ (ค.ศ. 1557-1563) กลายเป็นพระคัมภีร์ไบเบิลของนิกายโรมันคาทอลิกในปัจจุบัน วรรณกรรมทางศาสนาของชาวยิวเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของผลงานวรรณกรรมมากมายในยุคเฮเลนิสติก แต่ชาวยิวอย่างฟิโลแห่งอเล็กซานเดรีย (ประมาณ 25 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 50) และต่อมาโจเซฟัส (ประมาณ ค.ศ. 37-100) สามารถแต่ง ผลงานทางปรัชญาและประวัติศาสตร์ในภาษากรีกซึ่งดึงดูดวัฒนธรรมกรีกโก-โรมันที่กว้างขึ้นบนพื้นฐานของคุณงามความดีทางปัญญาและวรรณกรรมตั้งแต่ยุคพันธสัญญาเดิมสิ้นสุดลงประมาณปีค.ศ. 400 ปีก่อนคริสต์ศักราช และพันธสัญญาใหม่แทบจะไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับช่วงเวลาก่อนการประสูติของพระเยซูเลย เราต้องอาศัยคัมภีร์ที่ไม่มีหลักฐานและ Pseudepigrapha (เรียกว่า "การเขียนเท็จ") ของช่วงเวลาระหว่างพระคัมภีร์ ตลอดจนนักประวัติศาสตร์โรมันเพื่อขอข้อมูล เกี่ยวกับเหตุการณ์ในศตวรรษที่ 4 ถึง 1 ก่อนคริสต์ศักราช โจเซฟัส ผู้บัญชาการกลุ่มกบฏชาวยิวในแคว้นกาลิลีในช่วงแรกของการก่อจลาจลของชาวยิวครั้งแรกในปี ค.ศ. 66-73 (ซึ่งต่อมาได้ยกทัพมาตีชาวโรมัน) เป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับประวัติศาสตร์ชาวยิว บรรดาบิดาอัครศีลาจารย์ โดยเฉพาะเซนต์ออกัสติน (ค.ศ. 354-430) และ โอโรซีอุส ศิษย์ของท่าน (ประมาณ ค.ศ. 415) ได้เสนอการตีความเหตุการณ์ในศตวรรษที่ยากลำบากเหล่านั้นของคริสเตียน ออกัสตินชี้ให้เห็นว่าช่วงเวลาก่อนคริสตกาลเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ยาวนานและน่าเศร้าของการข่มเหง การฆ่าฟัน และความรุนแรง “พระนครของพระเจ้า”(City of God 2.3; 3.1) ความมืดของยุคขัดแย้งกับแสงสว่างของการเสด็จมาของพระบุตรของพระเจ้า และในประเด็นนี้ เหล่าอัครปิตาจารย์ ได้ย้ำถึงหัวข้อที่ประกาศครั้งแรกในพลังแห่งช่วงเวลาในช่วงท้ายของพันธสัญญาเดิม จักรวรรดิเปอร์เซียอันกว้างใหญ่เรืองอำนาจไปทั่วตะวันออกกลาง และแผ่นดินยูดาห์เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของมณฑลที่ยิ่งใหญ่ รัฐบาลใหม่และแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง จักรวรรดิโรมันที่กว้างใหญ่เหมือนกันแต่มีฐานอำนาจอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นผู้ควบคุมในหน้าเริ่มต้นของพันธสัญญาใหม่ ระหว่างจักรวรรดิเปอร์เซียและโรมัน อิสราเอลเข้ามา ภายใต้การปกครองของอาณาจักรเฮเลนิสติก (หรือที่ได้รับอิทธิพลจากกรีก) ของอาณาจักรอเล็กซานเดอร์มหาราชและรัฐสืบต่อทางตะวันออก อาณาจักรปโตเลมีก (มีฐานอยู่ในอียิปต์) และอาณาจักรเซลิวซิด (มีฐานอยู่ในซีเรีย) และเป็นเวลาประมาณหนึ่งร้อยปี อิสราเอลดำรงอยู่ในฐานะประเทศเอกราช แม้ว่าจะไม่อยู่ในบันทึกในพระคัมภีร์ แต่ปีเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สถาบันทางการเมืองและศาสนาหลายแห่งในพันธสัญญาใหม่ รวมทั้งแนวคิดทางปัญญาและจิตวิญญาณได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงเวลานี้เหตุการณ์ทางการเมืองในโลกที่กว้างขึ้นหล่อหลอมชีวิตชาวยิวในหลายๆ ด้าน ในปาเลสไตน์ ชาวยิวได้รับผลกระทบอย่างมากจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในอียิปต์และซีเรีย อเล็กซานเดอร์พ่ายแพ้ต่อกองทัพเปอร์เซียที่อีสซุสในปี 333 ก่อนคริสต์ศักราช เปิดทางไปสู่ชัยชนะของซีเรีย ปาเลสไตน์ และอียิปต์ เป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษหลังจากที่เขาเสียชีวิตในปี 323 ก่อนคริสต์ศักราช ปาเลสไตน์ถูกปกครองโดยทอเลมี ซึ่งเป็นเชื้อสายของกษัตริย์กรีกที่สืบเชื้อสายมาจากนายพลคนหนึ่งของอเล็กซานเดอร์ที่ประจำอยู่ที่อเล็กซานเดรียประเทศอียิปต์ จากนั้นในปี 198 ก่อนคริสต์ศักราช กษัตริย์ไหนราชวงศ์เซลูซิด ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากนายพลอีกคนหนึ่งของอเล็กซานเดอร์ ยึดอำนาจปกครองปาเลสไตน์และปกครองต่อจากเมืองอันทิโอกในซีเรีย จนกระทั่งชาวยิวก่อกบฏและได้รับเอกราชในที่สุดในปี 142 ก่อนคริสต์ศักราช ภายใต้การปกครองของปโตเลมี ชาวยิวมีเสรีภาพทางศาสนา แต่ผู้ปกครองของราชวงศ์เซลูซิดพยายามบังคับพวกกรีกและทำลายศาสนายูดายการจลาจลของชาวยิวที่ต่อต้านระบอบนอกรีตของ กรีก-ซีเรีย เริ่มขึ้นในเวลาที่แอนติโอคุสที่ 4 ส่งพระนามว่าแอนติโอคัส เอพิฟาเนส (175-164 ปีก่อนคริสตกาล) พยายามปราบปรามศาสนายิว เทศกาลของชาวฮีบรูและพิธีเข้าสุหนัตเป็นสิ่งต้องห้ามเนื่องจากความเจ็บปวดจากความตาย ในปี 167 ก่อนคริสต์ศักราช แอนติโอคัสได้ทำให้แท่นบูชาในพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มเป็นมลทินด้วยเนื้อสุกรและสถาปนาการบูชาโอลิมเปียนเซทส์ ความต่ำช้านี้ ("สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนแห่งความอ้างว้าง") ก่อให้เกิดการต่อสู้ที่ยาวนานและนองเลือดอย่างยิ่งระหว่าง จากช่วงเวลาที่ชาวยิวปกครองตนเองโดยสมบูรณ์ภายใต้ซีโมนในปี 142 ก่อนคริสต์ศักราช จนกระทั่งการพิชิตโดยชาวโรมันในปี 63 ก่อนคริสต์ศักราช ดินแดนเพิ่มเติมหลายแห่งถูกยึดครองและเพิ่มเข้าไปในรัฐฮัสโมเนียน กาลิลีกลายเป็นฐานที่มั่นของศาสนายูดาย แต่ชาวสะมาเรียซึ่งเป็นลูกหลานผสมของอาณาจักรทางตอนเหนือของอิสราเอล ต่อต้านการผสมกลมกลืนของชาวยิวและยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมไว้ ช่วงเวลาของการปกครองของฮัสโมเนียนหลังจากสมัยของไซมอนถูกทำเครื่องหมายด้วยความขัดแย้งและการวางอุบายที่ทำให้รัฐยิวอ่อนแอลงอย่างมาก ความเป็นปรปักษ์ระหว่างพวกสะดูสีและพวกฟาริสีรุนแรงขึ้นจนทั้งสองฝ่ายทำสงครามกันอย่างเปิดเผย เมื่อรัฐใกล้จะเกิดสงครามกลางเมือง แม่ทัพปอมปีย์ แห่งโรมันมองเห็นโอกาสที่จะแทรกแซงและรุกคืบผลประโยชน์ของโรมัน เขารุกรานปาเลสไตน์และยึดกรุงเยรูซาเล็มในปี 62 ก่อนคริสต์ศักราช รัฐยิวกลายเป็นจังหวัดหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน ซึ่งควบคุมปาเลสไตน์โดยอ้อมผ่านผู้ว่าการที่ได้รับการแต่งตั้ง ปอมปีย์ กลายเป็นเผด็จการในกรุงโรมในปี 52 ก่อนคริสต์ศักราช แต่พ่ายแพ้แก่ จูเลียสซีซาร์ ในปี 45 ก่อนคริสตกาล ซีซาร์ถูกปลงพระชนม์ในเวลาต่อมาและเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายทางการเมืองนี้ เฮโรด อันติปาเตอร์ ชาวไอดูเมียน (ชาวเอโดม) วางแผนอย่างชาญฉลาดในการก้าวขึ้นสู่อำนาจในแคว้นยูเดียและได้รับความโปรดปรานจากผู้ปกครองชาวโรมัน พระนางคลีโอพัตราที่ 7 แห่งอียิปต์ (51-30 ปีก่อนคริสตกาล) ได้ช่วยเหลือ แม่ทัพ มาร์ก แอนโธนีในการต่อสู้กับ ออกัสตัส แต่พ่ายแพ้ในการสงครามที่ออคเที่ยม ก่อนที่เขาจะพ่ายแพ้ แอนโทนีได้มอบตำแหน่งกิตติมศักดิ์ให้เฮโรดมหาราช บุตรชายของแอนตีปาเทอร์ ซึ่งก็คือ "กษัตริย์ของชาวยิว" ซึ่งชาวยิวส่วนใหญ่ไม่เคยยอมรับเพราะมรดกอิดูเมียของเฮโรด เนื่องจากเฮโรดมีบรรดาศักดิ์เป็น “กษัตริย์ของชาวยิว” เฮโรดจึงสั่งฆ่าเด็กทารกที่เบธเลเฮมเมื่อได้ยินรายงานเกี่ยวกับการประสูติของพระเมสสิยาห์ กษัตริย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของชาวยิวพัฒนาการทางการเมืองและวัฒนธรรมที่หล่อหลอมช่วงเวลานี้มีส่วนสำคัญต่อเรื่องราวดราม่าที่อธิบายไว้ในพระกิตติคุณและหนังสือกิจการ การเสด็จมาของพระเมสซิยาห์แห่งอิสราเอล การถูกปฏิเสธโดยชาติยิว และการกำเนิดและการเติบโตของคริสตจักรคริสเตียน ในช่วงหลายศตวรรษที่ปั่นป่วนตั้งแต่การพิชิตของอเล็กซานเดอร์มหาราช (336-323 ปีก่อนคริสตกาล) ไปจนถึงการรุกรานปาเลสไตน์โดยแม่ทัพปอมเปย์แห่งโรมัน (63 ปีก่อนคริสตกาล) บรรยากาศทางจิตวิญญาณได้พัฒนาขึ้นซึ่งเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์สำหรับการประกาศข่าวประเสริฐ  ในพระคัมภีร์ เพลงของมารีย์และเอลีซาเบธ (ลูกา 1:42-55) และคำเพยพระวจนะของเศคาริยาห์และสิเมโอน (ลูกา 1:68-79; 2:29-32) รวมถึงพันธสัญญาใหม่อื่นๆ อีกมากมาย การอ้างอิงถึงคำสัญญาของพระเมสสิยาห์ในพันธสัญญาเดิม (เปรียบเทียบ มัทธิว 4:14-16) แสดงให้เห็นอย่างน่าทึ่งถึงความปรารถนาของผู้คนทั่วไปที่ต้องการการปลดปล่อย อย่างไรก็ตาม เป็นความจริงที่พวกเขาหลายคน รวมทั้งสาวกของพระเยซูเอง คิดว่าการช่วยกู้ของพระเมสสิยาห์นี้เป็นเรื่องการเมืองเป็นหลักบรรยากาศทางจิตใจและจิตวิญญาณในสมัยนั้นขยายออกไปเกินกว่าความคาดหวังของศาสนทูตและความหวังของชาวยิว อันที่จริง ความหวังที่จะมีผู้ช่วยให้รอดก็เป็นลักษณะทั่วไปของโลกยุคโบราณเช่นกัน ตัวอย่างที่ยกมานี้มักมาจากกวีชาวละติน เวอจิล (70 ก่อนคริสต์ศักราช - ค.ศ. 19) ซึ่งในปี 40 ก่อนคริสต์ศักราช กล่าวถึงโลกว่า “โหยหาการปลดปล่อยผ่านการให้กำเนิดทารกบริสุทธิ์ในยุคทองในอนาคต” ( Ecologue 4:4-60) และโดยสัญลักษณ์ยกย่อง ออกัสตัส จักรพรรดิแห่งโรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้กอบกู้ที่รอคอยมานานระจายของวัฒนธรรมกรีก โลกเมดิเตอร์เรเนียนได้รับการแนะนำให้รู้จักกับวัฒนธรรมกรีกแล้ว ผ่านอาณานิคมหลายแห่งที่ชาวกรีกตั้งขึ้นเมื่อหลายศตวรรษก่อนอเล็กซานเดอร์ แต่จักรวรรดิเปอร์เซียนั้นใหญ่โต แปลกแยกจากวิถีชีวิตของชาวกรีก และเป็นศัตรูกับกรีก จากมุมมองของอเล็กซานเดอร์ มันจำเป็นต้องถูกพิชิตและเปลี่ยนไปนับถือศาสนากรีก แม้ว่าอาณาจักรมาซิโดเนียของอเล็กซานเดอร์จะดำรงอยู่ได้ไม่นาน แต่เขาก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในฐานะมิชชันนารีสำหรับวัฒนธรรมขนมผสมน้ำยา ในหลายศตวรรษหลังการปกครองของเขา อาณาจักรกรีกไม่เพียงก่อตั้งขึ้นในซีเรีย-ปาเลสไตน์และอียิปต์เท่านั้น แต่ยังขยายไปไกลถึงปากีสถานและอัฟกานิสถานสมัยใหม่ในเอเชียกลางด้วย  วัฒนธรรมกรีกนั้นก้าวหน้าที่สุดในโลก นำเสนอการผสมผสานที่มีเสน่ห์และซับซ้อนของวิทยาศาสตร์และปรัชญา โดยมีมรดกทางการเมือง ศาสนา วรรณกรรม สถาปัตยกรรม และศิลปะมากมาย สัมผัสที่สุดยอดมาจากเทศกาลกีฬาสาธารณะที่ยิ่งใหญ่ เชิดชูความอ่อนเยาว์และความสมบูรณ์แบบทางร่างกาย นักกีฬาในกีฬาโอลิมปิกและในเกมอื่น ๆ ได้รับการปฏิบัติเกือบเหมือนพระเจ้า ชาวโรมันชื่นชมและคัดลอกแง่มุมต่างๆ ของวัฒนธรรมกรีกในขณะเดียวกันก็ประกาศใช้อารยธรรมคลาสสิกตามแบบฉบับของตน ซึ่งรวมถึงองค์ประกอบแบบกรีกที่เข้มแข็ง ตัวอย่างเช่น เทพเจ้าแห่งโอลิมปิกได้รับการบูชาที่กรุงโรม แต่ใช้ชื่อละตินการมีอยู่อย่างแพร่หลายของวัฒนธรรมขนมผสมน้ำยา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งของภาษากรีก สำหรับชาวยิว คือกฎหมายและพระบัญญัติ สำหรับชาวกรีกมันเป็นความต้องการของวัฒนธรรมของเขา สำหรับชาวโรมัน โดยเฉพาะทหารหรือเจ้าหน้าที่ของโรมัน มันเป็นอำนาจของซีซาร์เอง มิติใหม่ถูกเพิ่มเข้าไปในความขัดแย้งทางวัฒนธรรมเมื่อศาสนจักรเกิดขึ้น สำหรับคริสเตียน สิทธิอำนาจของพวกเขาคือพระคริสต์ ไม่ใช่ซีซาร์ พวกเขากังวลเกี่ยวกับนิรันดรมากกว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตทางโลก พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาควรได้รับการกระตุ้นและควบคุมโดยพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่โดยประเพณี กฎหมาย สติปัญญา อารมณ์ หรือเจตจำนง ความสนใจของพวกเขามุ่งไปที่พระคัมภีร์ และเป้าหมายของพวกเขาคือการประกาศข่าวประเสริฐในบรรดาสถาบันทางศาสนาและการเมืองของชาวยิวที่สร้างขึ้นในช่วงระหว่างการทดสอบอันเป็นผลมาจากความตึงเครียดทางวัฒนธรรมนั้น มีกลุ่มทางศาสนาเช่น 1) พวกฟาริสี ซึ่งเป็นนิกายที่เคร่งครัดซึ่งต่อต้านลัทธิเฮลเลนิสม์ ยืนกรานที่จะเชื่อฟังกฎหมายและความบริสุทธิ์ทางศาสนาอย่างยิ่ง 2) พวกสะดูสี กลุ่มชนชั้นสูงที่สนับสนุนฐานะปุโรหิตในกรุงเยรูซาเล็มและควบคุมการนมัสการในพระวิหาร 3) อาลักษณ์ กลุ่มนักศึกษาวิชาชีพพระพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ 4) และ อัสซีนกลุ่มนักพรตที่ผลิต “ม้วนหนังสือทะเลตาย” แต่ไม่ได้เอ่ยชื่อในพันธสัญญาใหม่ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มการเมืองเช่น 5) ซีลอต ซึ่งต่อต้านการปกครองของโรมันอย่างบ้าคลั่ง6) คนเก็บภาษีที่จ่ายเงินให้ชาวโรมันเพื่อโอกาสในการเก็บภาษีและเก็บภาษีมากเกินไปเพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากเพื่อนร่วมชาติ 7) และกลุ่มเฮโรด ผู้สนับสนุนและสมัครพรรคพวกของกษัตริย์เฮโรดที่กระตือรือร้นในการรับรองวัฒนธรรมโรมันร่องรอยของความตึงเครียดเหล่านี้ปรากฏในหน้าของพันธสัญญาใหม่ ตัวอย่างเช่น สาวกคนหนึ่งของพระเยซูเป็นพวกชาตินิยม และทั้งพระเยซูและอัครสาวกเปาโลขัดแย้งกันหลายครั้งกับพวกฟาริสีและสะดูสี ดังนั้นโลกในพันธสัญญาใหม่จึงจมอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางวัฒนธรรมกรีก-ยิว ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้ว วัฒนธรรมเฮเลนิสติกและการดัดแปลงจากโรมันกวาดล้างทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า การเมือง ปรัชญา การศึกษา วรรณกรรม ศิลปะ สถาปัตยกรรม ความบันเทิง; แม้แต่รูปแบบการแต่งกายและอาหารของชาวยิวก็ได้รับอิทธิพลมาจากชาวกรีก และในโลกนี้ที่พระเยซู พระเมสสิยาห์เสด็จมา   แม้จะมีการหยุดพักทางประวัติศาสตร์ แต่เวลาสี่ศตวรรษระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ก็มีพัฒนาการที่สำคัญเพื่อความเข้าใจภูมิหลังและประเด็นต่างๆ ของพันธสัญญาใหม่ เห็นได้ชัดว่าพระเจ้ากำลังทำงานในประวัติศาสตร์ อัครสาวกเปาโลสรุปช่วงเวลาทั้งหมดได้อย่างยอดเยี่ยมในกาลาเทีย 4:4 เมื่อเขากล่าวว่า “4แต่เมื่อครบกำหนดแล้วพระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ประสูติจากสตรีเพศและทรงถือกำเนิดใต้ธรรมบัญญัติ” หมายความว่าเมื่อถึงเวลาที่ถูกต้องในแง่ของประวัติศาสตร์โลก พระเยซูคริสต์ทรงบังเกิด เมื่อความหวังของพระเมสสิยาห์ของชาวยิวที่แสดงออกมาอย่างยาวนานสำเร็จในที่สุด พระคริสต์และผู้ติดตามพระองค์สามารถประกาศข่าวประเสริฐในโลกที่เปิดกว้างทางการเมือง วัฒนธรรม ปรัชญา เศรษฐกิจ และจิตวิญญาณ

วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ดินแดนแห่งโลกพระคัมภีร์ โดย ศรีธนต์ เยาว์ธานี

ประเทศอียิปต์

        แผ่นดินอียิปต์หรือที่ขนานนามในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า" เอฟรายิม"เป็นดินแดนที่มีความสวยงามรุ่งเรืองไปด้วยอารยะธรรมเก่าแก่มาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล 2,000 ปี

        อียิปต์ได้รับการขนานนามว่า "ของประทานแห่งแม่น้ำไนล์"ที่ไหลจากประเทศเอธิโอเปีย ไหลไปสู่ตอนเหนือสู่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ชาวอียิปต์เรียกตนเองว่า "คอปต์"และชาว  กรีกเรียกอียิปต์ว่า "อายคุปโตส"

        ชนชาติอิสราเอลได้อพยพเข้าไปสู่อียิปต์ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลในสมัยที่โยเซฟบุตรยาโคบได้ดำรงค์ตำแหน่ง "มหาอุปราชแห่งฟาโรห์"โดยมีชื่อปรากฎว่า "ซาเฟนาทพานีอา" โดยชาวอิสราเอลตั้งรกรากอยู่ที่เมืองโกเชน

        มาจนถึงสมัยของเผ่าฮีคโซสมีอำนาจในการปกครองอียิปต์ในรัชสมัยของ "ราเมเสสที่2"พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกว่า "ฟาโรห์องค์ใหม่นี้ไม่รู้จักโยเซฟ  และประชากรชาวอิสราเอลในแผ่นดินอียิปต์เพิ่งจำนวนทวีคูณในช่วงเวลา 430 ปี

        ต่อมาได้เกิดการกดขี่ชนชาติอิสราเอลให้เป็นกรรมกรทาส และการกำเนิดของ "โมเสส"บุตรของอัมราม และ โยเคเบด เผ่าเลวี ได้เป็นผู้นำในการปลดปล่อย และนำชาวอิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์โดยเดินทางข้ามทะเลแดง และทะเลทรายซีนาย โดยมีเป้าหมายในการไปตั้งรกรากใน"แผ่นดินแห่งพันธสัญญา" หรือแผ่นดินคานาอัน คลื่นการอพยพใช้เวลานานถึง 40 ปี

         ในพันธสัญญาใหม่ โยเซฟ และ มาเรีย ได้พาพระกุมารเยซูหลบหนีภัยประหารของเฮโรดไปอยู่ที่ประเทศอียิปต์

            

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2563

จำลองแบบพระคริสต์

💘 ภาคที่ 1 คำเตือนเพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิตฝ่ายจิต
****

🌷 บทที่ 1
ดำเนินชีวิตแบบพระคริสต์

.
🌿 (1) องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า .... “ใครก็ตามที่เดินตามเราจะไม่เดินในความมืด”

นี่คือพระวาจาของพระคริสตเจ้า ที่เตือนเราว่า เราควรดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์

ถ้าแสวงหาความสว่างที่แท้จริง และปรารถนาการหลุดพ้นจากความมืดบอดทุกชนิดของหัวใจ จงตั้งใจอย่างแน่วแน่ ที่จะเรียนรู้และพิจารณาถึงชีวิตของพระคริสตเจ้า

.
🌿 (2) คำสอนของพระคริสตเจ้า มีค่าเหนือกว่าคำสอนทั้งหมดของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

ใครที่มีพระจิตของพระคริสต์ จะพบอาหารทรงชีวิตซ่อนอยู่ในพระวาจาของพระองค์

คนจำนวนมาก แม้นเคยฟังพระวาจาของพระคริสต์ แต่หลังจากนั้นก็ใส่ใจเพียงเล็กน้อยเพราะเขาไม่มีจิตตารมณ์ของพระองค์

ใครที่ปรารถนาจะรู้และเข้าใจพระวาจาของพระคริสต์ด้วยพระปรีชาญาณอย่างแท้จริง ให้เขาเหล่านั้นมุ่งมั่นที่จะดำเนินชีวิตของเขาทั้งชีวิตตามจิตตารมณ์ของพระองค์

.
🌿 (3) มีประโยชน์อะไรที่จะโต้เถียงกันเกี่ยวกับเรื่อง พระตรีเอกภาพแต่ขาดความสุภาพ เพราะการกระทำเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระตรีเอกานุภาพพอพระทัย

คำพูดลึกซึ้ง ไม่ได้ทำให้มนุษย์เป็นคนศักดิ์สิทธิ์หรือชอบธรรม

ชีวิตที่ประกอบด้วยคุณธรรม ทำให้มนุษย์เป็นที่โปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ข้าพเจ้าปรารถนาจะรู้สึกเป็นทุกข์ถึงบาป มากกว่าอยากรู้ความหมายของคำว่า “เป็นทุกข์ถึงบาป”

รู้พระคัมภีร์ทั้งเล่ม จดจำคำของประกาศกได้ทั้งหมด จะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีความรัก และพระหรรษทานขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ความว่างเปล่าของสิ่งไร้สาระ ... ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่า .. นอกจากรักองค์พระผู้เป็นเจ้า และรับใช้พระองค์เท่านั้น

ปล่อยโลกทั้งโลกไว้เบื้องหลัง แสวงหาพระอาณาจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือปรีชาญาณสูงสุด

.
🌿 (4) เป็นเรื่องไร้สาระ ที่แสวงหาและวางใจในทรัพย์สมบัติ ซึ่งวันหนึ่งก็มลายหายไป

เป็นเรื่องไร้สาระ ที่ปรารถนาการยกย่องสรรเสริญ และยกตนขึ้นเหนือผู้อื่น

เป็นเรื่องไร้สาระ ที่ทำตามความปรารถนาของราคะตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง

เป็นเรื่องไร้สาระ ที่ยอมให้ความปรารถนาเหล่านั้นนำไปสู่การกระทำต่างๆ และในที่สุดก็นำมาซึ่งความทุกข์

เป็นเรื่องไร้สาระ ที่ปรารถนาจะมีชีวิตยืนยาว แต่เอาใจใส่เพียงเล็กน้อยเพื่อการเจริญชีวิตอย่างมีคุณค่า

เป็นเรื่องไร้สาระ ที่คิดถึงแต่ชีวิตนี้ แต่ไม่เคยมองไปข้างหน้าถึงสิ่งที่จะตามมาหลังความตาย

เป็นเรื่องไร้สาระ ที่ผูกใจกับสิ่งซึ่งเสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่รีบเร่งมุ่งไปสู่สันติสุขที่ถาวร

.
🌿 (5) จงพิจารณาคำพูดต่อไปนี้บ่อยๆ

“ตาไม่เคยพอในสิ่งที่เห็น ...

หูไม่เคยอิ่มในสิ่งที่ได้ยิน ...” 


💘 บทที่ 2
สำนึกถึงความต่ำต้อยของตนเอง

.
🌿 (1) ความอยากรู้เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ทุกคน แต่ความรู้ที่ปราศจากความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมีประโยชน์อะไร

คนธรรมดาไม่มีความรู้แต่รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ย่อมดีกว่านักปราชญ์ที่ภูมิใจในตนเอง ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับดวงดาว แต่กลับละเลยความรู้เกี่ยวกับตัวเอง

ผู้รู้จักตนเองดี ย่อมรู้ถึงความต่ำต้อยของตน ไม่ใส่ใจคำสรรเสริญของมนุษย์

ถ้าข้าพเจ้ารู้ทุกอย่างในโลก แต่ไม่มีความรัก ความรู้เหล่านั้นจะช่วยอะไรข้าพเจ้าได้ เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะตัดสินข้าพเจ้าตามการกระทำของข้าพเจ้ามิใช่หรือ

.
🌿 (2) จงปล่อยวางความปรารถนาที่อยากมีความรู้เกินจำเป็น เพราะความรู้เหล่านั้นมากไปด้วยความสับสนและการหลอกลวง

คนมีความรู้ ต้องการให้คนอื่นรู้ว่า “เขารู้” และ ยกย่องว่า “เขาฉลาด”

เรื่องราวมากมายที่รู้ มีประโยชน์เพียงน้อยนิด หรือไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับวิญญาณ

เป็นเรื่องโง่เขลา ที่ให้ความสำคัญกับคนที่ใส่ใจเรื่องราวต่างๆ ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของตน

ความรู้มาก ไม่ได้ทำให้วิญญาณพบความสุข แต่การดำเนินชีวิตที่ดี จะทำให้จิตใจเบิกบาน

มโนธรรมบริสุทธิ์ จะเชื่อมั่นอย่างแท้จริงในองค์พระผู้เป็นเจ้า

.
🌿 (3) ยิ่งรู้มากและรู้ลึกซึ้งเท่าไร ก็จะถูกตัดสินอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นเท่านั้น เว้นแต่ท่านจะได้ดำเนินชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์โดยแท้จริง

อย่าอวดดีเพราะความชำนาญหรือความรู้ แต่จงกลัวความรู้ที่ได้มา

ถ้าคิดว่ามีความรู้มากและเข้าใจเรื่องเหล่านั้นเป็นอย่างดี จงรู้ด้วยว่ามีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังไม่รู้

อย่าอวดดี แต่ควรยอมรับถึงความไม่รู้

เหตุใดจึงปรารถนาจะยกตนเหนือผู้อื่น

ในพระคัมภีร์บอกเล่าถึงคนที่มีความรู้ และกล่าวถึงผู้มีความสามารถมากมายกว่าท่านมิใช่หรือ

ถ้าอยากมีความรู้ และเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เป็นประโยชน์ จงเลือกเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก และถูกนับว่าเป็นคนที่ไม่มีอะไร

.
🌿 (4) ความรู้ที่ดีที่สุดและมีประโยชน์สูงสุด คือการรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ และยอมรับความต่ำต้อยของตน

ไม่ยกย่องตนเอง แต่คิดถึงผู้อื่นด้วยความเมตตาและมองผู้อื่นในแง่ดี นี่คือปรีชาญาณยิ่งใหญ่และดีที่สุด

แม้นมองเห็นความผิดของผู้อื่นชัดเจน และเลวร้ายที่สุด ก็อย่าคิดว่าท่านดีกว่าเขา เพราะท่านไม่รู้หรอกว่าท่านจะรักษาความดีนั้นไว้ได้นานสักแค่ไหน

เราทุกคนอ่อนแอและเปราะบาง

จงระลึกไว้เสมอว่า ไม่มีใครอ่อนแอเท่ากับตัวเราเอง 🍀 


💘 บทที่ 3
คำสอนแห่งองค์ความจริง

.
🌿 (1) เป็นบุญของผู้ที่ได้รับการสั่งสอนโดยองค์ความจริง องค์ความจริงสอนเขาด้วยพระองค์เอง มิใช่ด้วยจินตนาการหรือคำพูดที่จางหายไปอย่างรวดเร็ว

ความคิดเห็นและความรู้สึก มักทำให้เราเข้าใจผิด เรารู้ความจริงเพียงน้อยนิดเท่านั้น

มีประโยชน์อะไรที่จะถกเถียงกันถึงสิ่งที่มองไม่เห็น วิพากษ์วิจารณ์กันถึงเรื่องที่เราไม่รู้

เราไม่ถูกตำหนิในวันพิพากษา เพราะเราไม่รู้ มิใช่หรือ

เป็นเรื่องโง่เขลาจริงๆ แทนที่จะเอาใจใส่เรื่องที่เป็นประโยชน์และจำเป็น กลับละเลยเรื่องเหล่านั้น และกลับไปใส่ใจเรื่องที่อยากรู้ อยากเห็น และเป็นภัยกับตนเอง

มีตา .... แต่มองไม่เห็น ....

.
🌿 (2) เกี่ยวข้องอะไรกับเราหรือ ที่ต้องพูดถึงเรื่องเผ่าพันธุ์และต้นกำเนิดของมนุษย์

บุคคลใดที่องค์ความจริงสั่งสอนเขา บุคคลคนนั้นก็เป็นอิสระจากข้อสงสัยต่างๆ

เพียงพระวาจาเดียว ทุกสิ่งก็เกิดขึ้น และสิ่งสร้างเหล่านั้นก็เผยแสดงถึงพระองค์

พระองค์คือปฐมเหตุ พระองค์ตรัสกับเราตั้งแต่แรกเริ่ม

ไม่มีใครเข้าใจ หรือตัดสินเรื่องใดได้ถูกต้อง หากปราศจากพระองค์

ผู้เห็นทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน .... จะถวายทุกสิ่งนั้นคืนแก่พระองค์

ผู้เห็นทุกสิ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้า จิตใจของเขาจะมั่นคง และดำรงอยู่ในสันติสุขของพระองค์

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์คือความจริง โปรดให้ลูกเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในความรักนิรันดรเถิด”

บ่อยครั้ง ลูกเบื่อหน่ายที่จะอ่าน และรำคาญที่ต้องฟังเรื่องราวต่างๆ เพราะในพระองค์มีครบทุกอย่างที่ลูกอยากได้และปรารถนา

ขอให้บรรดาผู้มีความรู้ทั้งหลายอยู่ในสันติสุข

ขอให้สิ่งสร้างทั้งหลายอยู่ในความสงบเฉพาะพระพักตร์พระองค์

ขอให้พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่ตรัสกับลูก

.
🌿 (3) จิตใจมีสันติสุขในความเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ความจริงและเรียบง่ายมากเท่าไร ก็จะเข้าใจสิ่งต่างๆได้มากและลึกซึ้งยิ่งขึ้นเท่านั้น เขาไม่เหน็ดเหนื่อยในการแสวงหา เพราะเขาได้รับแสงสว่างแห่งความเข้าใจจากเบื้องบน

จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ จริงใจ และมั่นคง จะไม่วิตกกังวลแม้นมีงานมากมายที่ต้องทำ เพราะเขาทำทุกอย่างเพื่อพระสิริมงคลขององค์พระผู้เป็นเจ้า มิใช่เพื่อสนองความต้องการของตนเอง

อุปสรรคและความรำคาญใจ เกิดขึ้นเพราะจิตใจที่ไร้ระเบียบวินัยของเขาเองมิใช่หรือ

คนชอบธรรมและศรัทธา จะเริ่มทำงานในจิตใจของเขา ก่อนที่จะออกไปทำงานข้างนอก เขาจึงไม่ถูกชักจูงไปโดยความปรารถนาที่ชั่วร้ายของเขา แต่เขาจะตัดสินทุกอย่างด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง

การต่อสู้เพื่อเอาชนะตนเอง เป็นการต่อสู้ที่หนักที่สุดมิใช่หรือ เราต้องพยายามที่จะเป็นนายของตนเองให้ได้ การต่อสู้ในแต่ละวัน จะทำให้เราเข้มแข็งและก้าวไปสู่ความดีที่สมบูรณ์ยิ่งๆขึ้น

.
🌿 (4) ความดีทุกอย่างในชีวิตนี้ จะมีความไม่ดีปะปนมาด้วยเสมอ

ความสามารถในการพินิจพิเคราะห์ มักจะมีความมืดบางอย่างเข้ามาบดบังไว้เสมอ

การรู้จักตนเองเพียงน้อยนิด คือหนทางนำไปสู่องค์พระผู้เป็นเจ้า มิใช่นำไปสู่การแสวงหาอย่างจริงจังจากการเรียนรู้ประสามนุษย์

การเรียนรู้มิใช่สิ่งที่ไม่ดี หรือเป็นเรื่องที่ควรถูกตำหนิ แต่มโนธรรมที่ดีและชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ย่อมดีกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง

คนจำนวนมากแสวงหาความรู้ มากกว่าพยายามดำเนินชีวิตให้ดีขึ้น เพราะเหตุนี้ เขาเหล่านั้นจึงหลงผิด และพบประโยชน์เพียงน้อยนิดหรือไม่พบเลย

.
🌿 (5) ถ้ามนุษย์ใช้ความพยายาม เพื่อถอนรากถอนโคนกิเลสตัณหา และปลูกฝังคุณธรรมให้กับตนเอง เหมือนที่พยายามหาคำตอบให้กับคำถามที่ไร้สาระเหล่านั้นแล้ว การกระทำที่ชั่วร้าย และแบบอย่างที่ไม่ดี ย่อมไม่เกิดขึ้นท่ามกลางฆราวาส และการดำเนินชีวิตที่ชั่วร้าย ย่อมไม่เกิดขึ้นในบ้านของนักบวช

แน่นอนที่สุด ในวันพิพากษา เราจะไม่ถูกถามว่ามี หนังสืออะไรบ้างที่เราได้อ่าน แต่จะถูกถามว่าเราได้ทำอะไรบ้าง

เราจะไม่ถูกถามว่า เราพูด.. สอน ... ได้ดีขนาดไหน แต่จะถูกถามว่า เราดำเนินชีวิตดีหรือไม่

บอกหน่อยซิว่า ... บรรดาผู้รอบรู้ ครูอาจารย์เหล่านั้น บัดนี้เขาอยู่ที่ไหน ท่านรู้จักพวกเขาเหล่านั้นดีมิใช่หรือ เขาเคยอยู่กับท่านมิใช่หรือ เขาเป็นผู้มีความรู้มากมายมิใช่หรือ

แต่บัดนี้ มีคนอื่นมาแทนที่เขาแล้วใช่ไหม และบางทีคนที่มาแทนเขา อาจจะไม่เคยคิดถึงเขาเลยก็เป็นได้

ขณะมีชีวิต ดูเหมือนว่า เขาเป็นคนสำคัญคนหนึ่งทีเดียว แต่บัดนี้ ไม่มีใครพูดถึงเขาเลยใช่ไหม

.
🌿 (6) เกียรติยศที่โลกมอบให้ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

การดำเนินชีวิต สอดคล้องกับความรู้ที่มีหรือไม่

สิ่งที่ได้อ่านและแสวงหา เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตบ้างหรือไม่

บนโลกนี้ คนจำนวนมาก ตายไปพร้อมกับความรู้ที่ไม่มีประโยชน์

น้อยคนนัก ใส่ใจรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า

เขารักที่จะเป็นใหญ่ มากกว่าอ่อนน้อมถ่อมตน

ชีวิตจึงสูญเปล่าไปในความเพ้อฝัน

คนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ คือคนที่เปี่ยมด้วยความเมตตา เขายิ่งใหญ่เพราะเขาสำนึกว่าเขาเป็นเพียงคนเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น

เกียรติยศชื่อเสียง ไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับเขา

สำหรับคนฉลาด ของของโลกนี้เป็นสิ่งไร้ค่า เพราะชัยชนะของเขาคือพระคริสต์

คนรู้จริง คือคนที่ทำตามน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า และปฏิเสธน้ำใจของตนเอง 🍀 


💘 บทที่ 4
ความรอบคอบ

.
🌿 (1) .... อย่าเชื่อทุกคำที่คนอื่นพูด

.... อย่าวางใจความรู้สึกของตน

จงระมัดระวังและหนักแน่นในเรื่องที่ได้ยิน แม้นเรื่องที่เกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า

เป็นเรื่องเศร้า .... เราอ่อนแอเกินไป จึงง่ายที่จะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และรวดเร็วที่จะเล่าต่อ แทนที่จะทำในสิ่งที่ดีกว่านี้

สำหรับคนดี เขาจะไม่รีบร้อนเชื่อในเรื่องที่ได้ยิน เพราะรู้ว่ามนุษย์นั้นอ่อนแอ โน้มเอียงสู่ความชั่ว คำพูดก็กลับไปกลับมา

.
🌿 (2) การไม่ดื้อรั้น ไม่ยึดมั่นในความคิดเห็นของตน คือส่วนหนึ่งของปรีชาญาณ และในพระปรีชาญาณนั้น คือการไม่เชื่อทุกคำที่ได้ยิน ... ไม่นำเรื่องที่ได้ฟังมาไปเล่าต่อ แม้นจะเชื่อได้ว่า เป็นเรื่องจริงก็ตาม

จงปรึกษาผู้รู้ หรือผู้มีมโนธรรมดี

คำแนะนำของผู้อื่นย่อมดีกว่าความคิดเห็นของตน

ทำตามคำแนะนำของผู้อื่น ดีกว่าทำตามความคิดเห็นของตน

การดำเนินชีวิตที่ดี ทำให้มนุษย์ฉลาดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และทำให้เขามีประสบการณ์มากมายในเรื่องต่างๆ

มนุษย์สุภาพมากเท่าใด ก็พร้อมจะทำตามน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นเท่านั้น

มนุษย์สุภาพในเรื่องต่างๆมากเท่าไร จิตวิญญาณของเขาจะอยู่ในสันติสุขมากเท่านั้น 🍀 

💘 บทที่ 5
การอ่านพระคัมภีร์

.
🌿 (1) อ่านพระคัมภีร์ เพื่อรู้ความจริง ไม่ใช่สำนวนโวหาร

เรื่องราวทั้งหมดในพระคัมภีร์ ต้องอ่านด้วยจิตตารมณ์ของผู้เขียน

จงแสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์จากการอ่านพระคัมภีร์ มากกว่าสำนวนโวหารที่ใช้ในการเขียน

เช่นเดียวกับการอ่านหนังสือศรัทธาอื่นๆที่เขียนด้วยความศรัทธาและเขียนแบบซื่อๆ หรือหนังสือที่เขียนได้อย่างลึกซึ้งและเข้าใจยาก จงแสวงหาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เถิด

อย่าสนใจว่าคนเขียนเป็นใคร เพราะนั่นคืออุปสรรคขัดขวางประโยชน์ที่จะได้รับ ไม่ว่าผู้เขียนจะมีความรู้มากหรือน้อยแค่ไหน จงให้ความรักแห่งองค์ความจริงเป็นผู้นำในการอ่าน

อย่าถามว่าใครเป็นคนบอกให้เขียน แต่ควรสนใจในเนื้อหาที่บันทึกไว้

.
🌿 (2) มนุษย์ล่วงลับไป แต่ความจริงขององค์พระผู้เป็นเจ้าคงอยู่ตลอดนิรันดร

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเราผ่านทางบุคคลต่างๆมากมาย โดยไม่สนใจว่าคนคนนั้นเป็นใคร

บ่อยครั้ง อุปสรรคในการอ่านพระคัมภีร์ หรือหนังสือศรัทธาต่างๆ คืออ่านเพื่อแสวงหาความเข้าใจ เพื่อวิพากษ์ วิจารณ์ อ่านเพราะความอยากรู้อยากเห็น

ความจริงแล้ว ควรอ่านด้วยใจซื่อและบริสุทธิ์

ถ้าอยากได้ประโยชน์จากการอ่าน ....

จงอ่านด้วยใจสุภาพ

อ่านด้วยใจซื่อและบริสุทธิ์ ไม่ใช่ปรารถนาจะได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้จากการอ่าน

อย่าอายที่จะถาม

จงรู้จักฟังคำของผู้ศักดิ์สิทธิ์ในความเงียบ

อย่าหงุดหงิดหรือไม่พอใจกับคำของผู้เฒ่า

สิ่งที่เขียนย่อมมีเหตุผลเสมอ 🍀  


💘 บทที่ 6
ความอยากที่ขาดการควบคุม

.
🌿 (1) เมื่อใดก็ตาม ที่ปรารถนาในเรื่องที่ไม่เหมาะสม สันติสุขจะหายไป

คนถือดี คนไม่รู้จักพอ ... จะไม่เป็นสุข

คนรู้จักพอ คนสุภาพ .... จะพบสันติสุขมากมาย

คนที่ไม่ตายจากตนเองอย่างแท้จริง ในไม่ช้าจะถูกล่อลวงและพ่ายแพ้แม้นในเรื่องเล็กๆ และตกเป็นทาสความชั่วร้ายต่างๆ

เป็นเรื่องยากสำหรับผู้มีจิตใจอ่อนแอ และฝักใฝ่ความสุขใน รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ที่จะหลุดพ้นจากความปรารถนาฝ่ายโลก

บ่อยครั้งจะเสียใจ เมื่อต้องปฏิเสธความปรารถนาในเรื่องเหล่านั้น ง่ายที่จะโกรธเมื่อความต้องการของตนถูกต่อต้าน

.
🌿 (2) ตรงกันข้าม จะวิตกกังวลเมื่อความปราถนาได้รับการตอบสนอง มโนธรรมติเตียนที่ทำตามกิเลสและตัณหาของตน เขาไม่พบสันติสุขตามที่คาดหวัง

สันติสุขแท้จริง อยู่ที่การเอาชนะกิเลสและตัณหา ไม่ใช่ตกเป็นทาสของมัน

สันติสุขไม่อยู่ในจิตใจของผู้เป็นทาสของเนื้อหนัง

ผู้ไม่ปล่อยวางสิ่งภายนอก จะไม่พบสันติสุขในหัวใจ

สันติสุข เป็นของผู้ปรารถนาองค์พระผู้เป็นเจ้าและดำรงชีวิตฝ่ายจิตเท่านั้น 🍀 

💘 บทที่ 7
หลีกเลี่ยงความหวังและความอวดดีที่ไร้ประโยชน์

.
🌿 (1) เป็นการไร้ประโยชน์ ที่วางใจในมนุษย์ หรือสิ่งสร้างทั้งหลาย

อย่าอายที่จะรับใช้ผู้อื่นเพราะความรักต่อพระเยซูคริสต์ และถูกมองว่าเป็นคนยากจนในชีวิตนี้

อย่าวางใจตนเอง แต่จงมีความหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้า

ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ และพระองค์จะช่วยในความมีน้ำใจของท่าน ...

อย่าวางใจในความรู้ของตนเอง หรือความเฉลียวฉลาดของคนอื่น แต่ควรจะวางใจในพระเมตตาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ผู้ทำให้คนอวดรู้ได้อับอาย แต่ประทานพระหรรษทานแก่คนที่สุภาพถ่อมตน

.
🌿 (2) ถ้าท่านร่ำรวย ... อย่าภูมิใจในความร่ำรวยของท่าน

ถ้าเพื่อนของท่านมีอำนาจ อย่าอวดอ้างถึงอำนาจของเขา

จงชื่นชมในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ประทานทุกสิ่งและเพิ่มพูนทุกอย่างที่ท่านต้องการ แม้นแต่ชีวิตของพระองค์

อย่าภูมิใจว่าท่านมีสุขภาพดี หรือมีร่างกายที่งดงาม เพราะความเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย จะทำให้ทุกอย่างเสื่อมลงและสูญสลายไป

อย่าอวดดีในความเชี่ยวชาญ หรือความสามารถ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ประทานพระพรเหล่านั้นแก่ท่านอาจไม่พอพระทัย

.
🌿 (3) อย่าถือว่าตนเองดีกว่าคนอื่น เพราะในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านอาจจะดูแย่กว่าทุกคน

ใครจะรู้ถึงสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจมนุษย์

อย่าภูมิใจในสิ่งที่ทำ การตัดสินขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่เหมือนกับการตัดสินของมนุษย์ และสิ่งที่ทำให้มนุษย์ชื่นชมยินดี บ่อยครั้งไม่ใช่สิ่งที่พระองค์พอพระทัย

ถ้าท่านทำสิ่งดีๆ จงเชื่อเถิดว่า มีคนอื่นอีกมากมายที่ทำได้ดีกว่าท่าน เพื่อท่านจะได้รักษาความสุภาพของท่านไว้

ไม่ใช่เรื่องอันตรายที่จะวางตัวให้ต่ำกว่าคนอื่น แต่กลับเป็นเรื่องที่อันตรายมากกว่า ถ้าวางตัวสูงกว่าคนอื่น แม้นเพียงคนเดียว

สันติสุขเป็นของคนที่มีใจสุภาพ ไม่ใช่ของคนที่ภูมิใจในตนเอง เพราะหัวใจของคนที่ภูมิใจในตัวเอง จะมีแต่ความอิจฉาและความรู้สึกไม่พอใจ 🍀  


💘 บทที่ 8
อันตรายจากความสนิทสนมที่เกินควร

.
🌿 (1) อย่าเปิดใจของท่านแก่ทุกคน แต่จงปรึกษาเรื่องของท่านกับผู้มีปรีชาญาณ และยำเกรงพระเจ้า

อย่าติดต่อกับคนหนุ่มสาวให้บ่อยนัก รวมทั้งผู้ฝักใฝ่ทางโลกด้วย อย่าประจบคนร่ำรวย อย่าใฝ่ฝันเข้าสังคมชั้นสูง

จงคบหาคนสุภาพ คนซื่อ คนศรัทธา และคนอยู่ในศีลในธรรม จงสนทนากับเขาเรื่องที่ส่งเสริมความศรัทธา

อย่าสนิทสนมกับสตรี แต่จงฝากฝังสุภาพสตรีที่ดีเหล่านั้นไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

จงปรารถนาที่จะใกล้ชิดองค์พระผู้เป็นเจ้า และบรรดาเทวดาของพระองค์

จงหลีกเลี่ยงการเป็นที่สนใจของผู้อื่น

.
🌿 (2) จงรักทุกคน แต่ควรหลีกเลี่ยงความใกล้ชิดสนิทสนม

บางครั้ง แค่ได้ยินเรื่องราวที่ดีของคนบางคน เราก็นับถือเขา ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักหรือพูดจากันมาก่อน แต่เมื่อได้พบกัน ความนับถือที่เราเคยมีต่อเขา กลับลดน้อยลง

บ่อยครั้ง เราคิดว่าคนบางคนคงจะยินดีที่เราติดต่อกับเขาบ่อยๆ แต่บางทีอาจจะเป็นตรงกันข้ามก็ได้ เขาอาจจะผิดหวัง เพราะเห็นความบกพร่องในตัวเรา 🍀

💘 บทที่ 9
การเชื่อฟังและยอมอยู่ใต้อำนาจ

.
🌿 (1) การดำเนินชีวิตด้วยความนบนอบต่อผู้มีอำนาจ มิใช่ตามอำเภอใจของตนเองนั้นเป็นเรื่องสำคัญ

เป็นผู้น้อยอยู่ใต้อำนาจ ปลอดภัยกว่าอยู่ในตำแหน่งของผู้มีอำนาจ

คนจำนวนมากนบนอบเพราะจำเป็น มากกว่าเพราะความรัก เช่นนี้ไม่ถูกต้อง

เขาเหล่านั้นไม่พอใจเมื่อต้องนบนอบแม้นในเรื่องเล็กน้อย

จิตวิญญาณไม่พบอิสรภาพ จนกว่าจะศิโรราบต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยหัวใจที่รักพระองค์ ...

ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด เขาจะไม่พบสันติสุขเลย จนกว่าจะนบนอบต่อผู้มีอำนาจ ซึ่งได้รับมอบหมายมา

สถานที่ในฝัน การเปลี่ยนแปลงที่ต้องการ ล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น

.
🌿 (2) มนุษย์ทุกคนต่างต้องการทำตามความเห็นชอบของตน และเห็นด้วยกับคนที่มีความคิดเหมือนตน

ถ้าพระคริสต์อยู่ท่ามกลางเรา การปล่อยวางความคิดเห็นของตนเองเพื่อสันติสุขเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่า

มีใครฉลาดพอที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง

เพราะเหตุนี้ อย่ามั่นใจในความคิดเห็นของตนเองมากเกินไป แต่จงพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง และแม้นว่าความคิดเห็นของเราจะดี แต่เพราะเห็นแก่ความรักต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จงปล่อยวางความคิดเห็นของตน และทำตามความเห็นของผู้อื่น เราจะได้กำไรมากกว่าอีกหลายเท่า

.
🌿 (3) ข้าพเจ้าได้ยินว่า บ่อยครั้งเป็นการปลอดภัยที่จะฟัง และรับคำแนะนำจากผู้อื่นมากกว่าเป็นผู้ให้คำแนะนำ คำแนะนำที่เราได้รับนั้น อาจจะดีก็ได้ แต่เมื่อเราปฏิเสธเพราะเหตุผลของเรา หรือปฏิเสธเมื่อมีโอกาส นั่นคือเครื่องหมายของความหยิ่งจองหองและการเอาแต่ใจตนเองมิใช่หรือ 🍀  

🌿 (1) จงหลีกเลี่ยงความวุ่นวายของมนุษย์ ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

การพูดถึงสิ่งของของโลก แม้นจะพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ตาม มักทำให้จิตใจของเราตกอยู่ในความฟุ้งซ่านได้อย่างรวดเร็ว

บ่อยครั้งเราปรารถนาสันติสุข และไม่ต้องการวุ่นวายกับคนอื่น แต่เหตุใดเราจึงพูดและนินทาคนอื่นอย่างไม่หยุดหย่อน เราไม่รักษาความเงียบของเรา และเราก็ทำร้ายมโนธรรมของเรา

เราพูดมากเกินไปเพราะหวังว่า ด้วยการสนทนา เราจะให้ความบรรเทาใจแก่กันและกันบ้าง

เราแสวงหาความเบิกบานให้แก่จิตใจที่อ่อนล้า ด้วยความคิดต่างๆ เรายินดีที่ได้พูดและคิดในสิ่งที่เรารักหรือปรารถนา รวมทั้งสิ่งที่เราไม่ชอบและไม่ปรารถนาเช่นเดียวกัน

.
🌿 (2) อนิจจา... บ่อยครั้ง ทำไปโดยไร้เหตุผล และไร้สาระ

ความบรรเทาใจจากภายนอก แม้นจะน้อยนิด แต่ก็กลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นความบรรเทาใจภายในซึ่งมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

จงระมัดระวัง และสวดภาวนาเสมอๆ เพื่อว่าเวลาจะไม่ผ่านไปโดยไร้ค่า

ถ้าเป็นสิทธิหรือหน้าที่ และมีคนปรารถนาให้เราพูด จงพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรและเกิดประโยชน์

ความเคยชินในทางลบ และการละเลยต่อความก้าวหน้า ทำให้ขาดการระมัดระวัง

การสนทนาที่ดี คือการพูดคุยถึงเรื่องจิตวิญญาณ ซึ่งจะช่วยทำให้จิตวิญญาณก้าวหน้าได้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับกลุ่มผู้มีใจศรัทธา เขาจะพบที่หนุนใจในการติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า 🍀

💘 บทที่ 11
แสวงหาสันติสุขในจิตใจและความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ

.
🌿 (1) จะมีสันติสุขได้อย่างไร ถ้ามัวสนใจเรื่องของคนอื่น และเรื่องราวต่างๆที่ไม่ใช่เรื่องของตน แต่กลับสนใจเพียงเล็กน้อยหรือไม่ได้สนใจชีวิตภายในของตนเอง

จะมีสันติสุขได้อย่างไร ถ้ามัวแต่ใส่ใจในคำพูดหรือการกระทำของคนอื่น หรือสิ่งต่างๆที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน

เป็นบุญของผู้มีจิตใจมั่นคง เขาจะเต็มไปด้วยสันติสุข

.
🌿 (2) บรรดานักบุญเต็มเปี่ยมด้วยความครบครัน และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร

ท่านทำได้เพราะท่านพยายามอย่างเต็มที่ในการปฏิเสธตนเองจากความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนัง ทำให้หัวใจทั้งหมดของท่านยึดติดกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ทำให้ท่านเป็นอิสระและมีเวลาในการรำพึงถึงพระองค์

เราหมกมุ่นกับความพึงพอใจของตนเอง และวิตกกังวลมากเกินไปกับภาระกิจประจำวันที่จะผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว

ในแต่ละวัน เราไม่เคยสนใจที่จะเอาชนะพยศชั่วแม้นเพียงประการเดียว เราไม่กระตือรือร้นที่จะเจริญเติบโตในพระหรรษทาน เราเฉื่อยชาและไม่ใส่ใจชีวิตฝ่ายจิต

.
🌿 (3) เมื่อใดก็ตามที่เราระมัดระวังจิตใจของเรา ไม่สาละวนกับสิ่งภายนอก เมื่อนั้นเราจะรู้แจ้งเกี่ยวกับเรื่องความรอด และก้าวหน้าในการรำพึงถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า

อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่และน่าเศร้าคือ เราไม่เป็นอิสระจากอารมณ์และการติดใจในความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนัง เราไม่พยายามต่อสู้ไปสู่หนทางแห่งความครบครันอย่างเช่นบรรดานักบุญ

เมื่อเผชิญกับความยากลำบากแม้นเพียงเล็กน้อย เราก็ผิดหวัง และหันกลับไปสู่ชีวิตฝ่ายโลกเพื่อความบรรเทาทันที

.
🌿 (4) ถ้าเราปล่อยวางทุกอย่างได้เหมือนบรรดานักบุญ และยืนหยัดอย่างมั่นคงในการต่อสู้ เราจะพบว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังช่วยเราจากสรวงสวรรค์ เหตุว่า พระองค์พร้อมเสมอที่จะช่วยทุกคนที่ต่อสู้ และวางใจในพระองค์ ถูกแล้ว พระองค์ประทานโอกาสให้เราต่อสู้จนถึงที่สุด เพื่อเราจะได้รับชัยชนะ

ถ้าเรามองความก้าวหน้าของเราในฐานะ คริสตชน โดยใส่ใจเฉพาะความก้าวหน้าที่มองเห็นได้ภายนอก และรูปแบบของการปฏิบัติต่างๆเท่านั้น ในไม่ช้า ความเลื่อมใสศรัทธาของเราก็จะละลายหายไปจนหมดสิ้น

ถ้านำขวานมาวางไว้ที่ราก ตรงส่วนลึกที่สุดของชีวิตของเรา เพื่อขูดล้างชีวิตให้เป็นอิสระจากกิเลสตัณหา เราจะสามารถทำให้จิตวิญญาณของเราอยู่ในสันติสุข

.
🌿 (5) ถ้าสามารถปล่อยวางกิเลสตัณหาได้แม้นปีละอย่าง เราก็จะก้าวหน้าสู่ความครบครันได้อย่างรวดเร็ว

ปีแรกๆของการกลับใจนั้น เรามีความกระตือรือร้นมาก เรารู้สึกว่าเราดีขึ้นมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกเหล่านั้นกลับลดน้อยลง

ซึ่งความจริงแล้ว เมื่อเรียนรู้มากขึ้น ความกระตือรือร้นและความก้าวหน้าควรจะต้องเพิ่มขึ้น แต่บ่อยครั้งชีวิตภายในของเราก็มิได้เป็นเช่นนั้น และดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือเกินที่จะรักษาความกระตือรือร้นบางส่วนที่เคยมีในครั้งแรก

อย่างไรก็ตาม ถ้าสามารถรักษาความกระตือรือร้นในอดีตไว้ได้บ้าง แม้นบางส่วน ก็นับว่าดีมากแล้ว

ถ้าในตอนแรก เราได้เคยฝึกฝนตนเองบ้างแล้ว หลังจากนั้นจะพบว่า เราสามารถทำสิ่งต่างๆได้ง่ายและรู้สึกยินดี

.
🌿 (6) เป็นเรื่องยากที่จะทำลายนิสัยเก่าๆ แต่เป็นเรื่องที่ยากกว่า ถ้าต้องทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับน้ำใจของเรา

ถ้าไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคเล็กๆน้อยๆ จะเอาชนะสิ่งที่ยากกว่าได้อย่างไร

จงปล่อยวางความต้องการของตนตั้งแต่เริ่มแรก และละทิ้งนิสัยเก่าที่ไม่ดี มิเช่นนั้นมันจะค่อยๆนำท่านไปสู่ความยุ่งยากที่มากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าเพียงแต่รู้ว่าความศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตของท่านจะนำมาซึ่งสันติสุขแก่ตัวท่าน และความชื่นชมยินดีแก่ผู้อื่นมากแค่ไหน ท่านคงจะสนใจความก้าวหน้าของจิตวิญญาณมากขึ้นอย่างแน่นอน 🍀 


💘 บทที่ 12
การใช้ประโยชน์จากความทุกข์

.
🌿 (1) เป็นการดีที่บางครั้งได้พบกับความโศกเศร้า และความทุกข์ยากลำบาก เพราะบ่อยครั้งทำให้ตระหนักรู้ว่า เราเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้า เป็นคนเดินทาง และไม่ควรวางใจในสิ่งของของโลกนี้

เป็นการดีที่บางครั้งได้พบกับความขัดแย้ง ถูกตัดสินอย่างผิดๆและไม่ยุติธรรม เพราะเหตุการณ์เหล่านี้จะช่วยเราให้มีความสุภาพมากขึ้น และป้องกันเราจากคำสรรเสริญเยินยอที่ไร้สาระ ....

เมื่อคนอื่นพูดไม่ดีเกี่ยวกับเรา ทำให้เราเสียหาย ทั้งๆที่เราทำสิ่งที่ดีและถูกต้อง เราจะแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจ เพื่อขอพระองค์เป็นพยานให้เรา

.
🌿 (2) เพราะเหตุนี้ จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสิ้นเชิง ไม่แสวงหาความบรรเทาใจจากมนุษย์

ผู้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อประสบกับความทุกข์ยากลำบาก เหนื่อยล้า หรือรู้สึกเป็นทุกข์เพราะความคิดที่ไม่ดีของคนอื่น เขาจะพบว่าเขาต้องการองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง เพราะถ้าไม่มีพระองค์แล้ว เขาจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขาจะรู้สึกหนักใจ คร่ำครวญ และร้องขอความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยหัวใจที่แตกสลายของเขาอย่างจริงจัง เขาจะรู้สึกเบื่อหน่ายในชีวิต และปรารถนาจะละทิ้งทุกอย่างในโลกนี้เพื่อไปอยู่กับพระองค์

ด้วยวิธีนี้ เขาจะได้รับการสั่งสอนให้รู้ว่า โลกนี้ไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยสำหรับเขา หรือดินแดนแห่งสันติสุขอีกต่อไป 🍀  


💘 บทที่ 13
เผชิญหน้ากับการประจญล่อลวง

.
🌿 (1) ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากและการทดลอง เหมือนในเรื่องโยบ ที่มีบันทึกไว้ว่า ชีวิตของมนุษย์บนโลกนี้ คือการทดลอง

เพราะเหตุนี้เราแต่ละคน ต้องใส่ใจเกี่ยวกับการทดลองและการประจญล่อลวง

จงเฝ้าระวังด้วยการสวดภาวนา เพื่อสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นจะไม่สบโอกาสที่จะเข้ามาทำร้าย

สิ่งชั่วร้ายไม่เคยหลับ ไม่เคยนอน แต่จะวนเวียนแสวงหาคนที่มันสามารถเอาชนะได้

ไม่มีใครดีพร้อมในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ถึงขนาดไม่เคยถูกประจญล่อลวง หรือเป็นอิสระอย่างสิ้นเชิญจากการประจญล่อลวง

.
🌿 (2) การเผชิญหน้ากับการประจญล่อลวงเป็นเรื่องที่หนัก แต่จะแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเราได้ เพราะมันจะทำให้เราสุภาพ และชำระล้างเราให้บริสุทธิ์ และเรียนรู้จากมัน

นักบุญทั้งหลายต่างผ่านความยากลำบาก และการประจญล่อลวงอย่างหนักมาแล้วทั้งสิ้น และท่านก็ได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้น

ใครที่ไม่สามารถทนต่อการประจญล่อลวงได้ ก็จะกลายเป็นเหยื่อและพ่ายแพ้ในที่สุด

ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ใดที่จะหลบซ่อนให้พ้นไปจากการประจญล่อลวงได้

ไม่มีสถานที่เร้นลับแห่งใดที่การประจญล่อลวงจะไปไม่ถึง

.
🌿 (3) ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นอิสระจากการประจญล่อลวง ตราบเท่าที่ยังมีชีวิต

เพราะการประจญล่อลวงนั้น แท้จริงแล้วคือกิเลสตัณหาที่ฝังรากอยู่ในเราแต่ละคน เราเกิดมาด้วยกิเลสตัณหาเหมือนกันทุกคน

การประจญล่อลวงหรือความทุกข์ยากลำบากเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นและผ่านไป อีกเรื่องหนึ่งก็จะตามมาและผ่านไป เป็นเช่นนี้ตลอดเวลา ทำให้เราตกอยู่ในความทุกข์ และห่างไกลจากความสุขที่แท้จริง

หลายคนพยายามแสวงหาวิธีที่จะไปให้พ้นจากการประจญล่อลวง แต่เขากลับจมหนักลงไปกว่าเดิม

เราไม่สามารถเอาชนะการประจญล่อลวงได้ด้วยการหลบหนีหรือต่อสู้ตามลำพัง แต่อาศัยความอดทนและความสุภาพอ่อนน้อมเท่านั้น ที่จะทำให้เราเข้มแข็งและเอาชนะศัตรูได้

.
🌿 (4) ผู้ต่อสู้กับการประจญเพียงภายนอก แต่ไม่ยอมถอนรากถอนโคนที่ฝังลึกอยู่ภายใน จะไม่สามารถเอาชนะได้อย่างแท้จริง มันจะกลับมาใหม่อย่างรวดเร็ว และหนักกว่าเดิม

แทนที่จะต่อสู้ด้วยกำลังของตนเอง ตามอำเภอใจของตนเอง เราควรวอนขอความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้า อาศัยความอดทน และความพากเพียร ทีละเล็กทีละน้อย เราจะสามารถเอาชนะได้

เมื่อถูกประจญ จงขอคำปรึกษาจากผู้มีประสบการณ์

ผู้ให้คำปรึกษาควรมีความเห็นอกเห็นใจ และให้กำลังใจผู้ขอคำปรึกษา เหมือนที่ท่านต้องการให้คนอื่นทำกับท่าน

.
🌿 (5) การประจญล่อลวงทั้งหลายที่นำไปสู่ความชั่วร้ายนั้น จะเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อเกิดความสับสนทางอารมณ์ และขาดความวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า

เรือที่ไม่มีหางเสือ ย่อมถูกคลื่นซัดไปทางโน้นทีทางนี้ที

คนที่ไม่ระมัดระวังจิตใจของตนและไม่หนักแน่นมั่นคง ก็จะถูกล่อลวงให้ไปทางโน้นทีไปทางนี้ที

ไฟเป็นเครื่องพิสูจน์เหล็กฉันใด การประจญล่อลวงก็เป็นเครื่องพิสูจน์คนชอบธรรมฉันนั้น

บ่อยครั้งเราไม่รู้ว่าเราเข้มแข็งแค่ไหน การประจญล่อลวงจะเผยแสดงให้เห็นตัวตนของเราอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตามจงเฝ้าระวังจิตใจให้ดี เพราะเมื่อการประจญเริ่มก่อตัวขึ้นในระยะแรก ทันทีที่รู้ตัวว่ามันกำลังเคาะประตูอยู่ภายนอก เราจะสามารถเอาชนะมันได้ง่ายกว่า ทั้งนี้เป็นเพราะว่าขณะนั้นจิตใจยังไม่ถูกทำร้ายด้วยการประจญ

มีคำกล่าวไว้ว่า จงตรวจเช็คตั้งแต่แรก ... ทันทีที่พบจะสามารถรักษาได้ แต่ถ้าปล่อยให้โตขึ้น ก็ยากที่จะรักษา

การประจญเริ่มต้นจากความคิดก่อน อาจเป็นข้อเสนอเล็กๆน้อยๆ ธรรมดาๆ แต่หลังจากนั้น มันจะกลายเป็นมโนภาพ ก่อให้เกิดความรู้สึกชอบ ปลุกเร้าความใคร่ฝ่ายเนื้อหนัง และในที่สุดนำไปสู่การกระทำเพื่อสนองตอบความรู้สึกนั้น จะเห็นได้ว่า ถ้าเราไม่ขัดขวางหรือปฏิเสธตั้งแต่แรก มันจะค่อยๆพากันเข้ามาทีละเล็กทีละน้อย และยิ่งปล่อยไว้นานเพียงไร มันก็จะเข้ามาเพิ่มมากขึ้นและมีกำลังเอาชนะเรามากขึ้นเท่านั้น ขณะที่เราเองกลับอ่อนแรงลงทุกขณะ

.
🌿 (6) บางคน ในช่วงแรกของการกลับใจ ต้องทุกข์ทรมานอย่างหนักเพราะการประจญ แต่บางคนกลับถูกประจญมากในระยะหลังๆ

บางคน อาจถูกประจญอย่างหนักตลอดชีวิตของเขา บางคนอาจถูกประจญเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพระญาณสอดส่องและพระยุติธรรม ตามน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์รู้นิสัยใจคอ และสิ่งแวดล้อมของมนุษย์แต่ละคน และทรงอนุญาตให้ทุกสิ่งเป็นไปเพื่อสันติสุขของผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรร

.
🌿 (7) เพราะเหตุนี้ อย่าท้อถอยหรือหมดหวังเมื่อถูกประจญ แต่จงร้องขอความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากทุกชนิด พระองค์จะช่วยเราตามน้ำพระทัยของพระองค์ เหมือนที่นักบุญเปาโลได้กล่าวไว้ว่า

“ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทำให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ เมื่อท่านถูกทดลอง พระองค์จะให้ท่านมีทางหลีกเลี่ยงได้เสมอ เพื่อท่านจะมีกำลังทนรับได้”

เพราะเหตุนี้ ในช่วงเวลาแห่งการทดลองและความทุกข์ยากลำบาก จงมอบตัวไว้ในพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจสุภาพ

พระองค์จะช่วยและยกย่องคนใจสุภาพ

.
🌿 (8) มนุษย์ถูกทดสอบด้วยการประจญและความทุกข์ยาก

รางวัลที่ได้รับ ขึ้นอยู่กับบุญกุศลของแต่ละคน ซึ่งจะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด

ความศรัทธาของคนคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ถ้าไม่ผ่านความทุกข์ทรมาน

ในยามถูกประจญด้วยความทุกข์ยากลำบาก ถ้าเขาสามารถอดทนได้ ความก้าวหน้าในความศักดิ์สิทธิ์จะใหญ่ยิ่งนัก

บางคนปลอดภัยจากการประจญในเรื่องใหญ่โต แต่กลับพ่ายแพ้ต่อการประจญในเรื่องเล็กน้อย หรือเรื่องธรรมดาๆ

ความอับอายที่ต้องพ่ายแพ้ในเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้แหละ จะสอนเขาไม่ให้วางใจตนเองในเรื่องใหญ่โต เพราะแม้นในเรื่องเล็กน้อยเขายังพ่ายแพ้ 🍀
💘 บทที่ 14
หลีกเลี่ยงการตัดสินผู้อื่น

.
🌿 (1) จงสำรวจตนเองอย่างถี่ถ้วน และระมัดระวังอย่าตัดสินการกระทำของผู้อื่น

การตัดสินผู้อื่นเป็นการกระทำที่ไร้สาระ เพราะบ่อยครั้งเราเข้าใจผิดและทำบาปได้ง่าย

การพิจารณา และหมั่นสำรวจตนเองอยู่เสมอๆจะเป็นประโยชน์มากกว่า

บ่อยครั้ง เราตัดสินผู้อื่นตามความนึกคิดของเรา การตัดสินจึงไม่ถูกต้อง เราตัดสินตามความรู้สึกชอบและไม่ชอบ

ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าคือเป้าหมายสูงสุดของเรา เราจะไม่วุ่นวายในการตัดสินผู้อื่นตามความนึกคิดของเรา

.
🌿 (2) บ่อยครั้ง ความคิดที่ซ่อนอยู่ในใจ หรือแม้นแต่เหตุการณ์หรือสิ่งแวดล้อมภายนอกก็ผลักดันเราให้เขาไขว้เขวได้

คนจำนวนมาก แสวงหาความพึงพอใจด้วยการกระทำของตนโดยไม่รู้ตัว

คนส่วนมากอยู่ในสันติสุข เมื่อทุกอย่างผ่านไปด้วยดี และเป็นไปตามปรารถนา

แต่เมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการ เมื่อผิดหวังก็หวั่นไหวและไม่พอใจ ความรู้สึกและความคิดมากมายเกิดขึ้น ซึ่งบ่อยครั้งนำไปสู่ความไม่ลงรอยในหมู่เพื่อน ในสังคม ในหมู่คณะ หรือแม้นแต่ในกลุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นคนของพระเจ้า

.
🌿 (3) ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝึกนิสัยให้รู้จักมองเหตุการณ์ต่างๆด้วยสายตาของคนอื่น

ถ้ายึดมั่นเหตุผลหรือประสบการณ์ของตนเอง มากกว่าการวางใจในพระฤทธานุภาพของพระเยซูคริสตเจ้าย่อมเป็นการยากที่จะเห็นแสงสว่างแห่งความจริง

องค์พระผู้เป็นเจ้า ปรารถนาให้เรามอบทุกอย่างไว้กับพระองค์โดยสิ้นเชิง รวมทั้งเหตุผลของเราทั้งหมดเพราะความรักต่อพระองค์ 🍀  


💘 บทที่ 15
การกระทำกิจเมตตา

.
🌿 (1) กิจการดีทั้งหลายในโลกนี้ ถ้าไม่ได้ทำเพราะความรักต่อเพื่อนมมุษย์ กิจการนั้นๆย่อมไม่ใช่กิจการที่ดีที่แท้จริง

กิจการดีบางอย่างอาจจะต้องเลื่อนออกไป หรือเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เพื่อช่วยเหลือผู้ตกอยู่ในความทุกข์ ... การกระทำเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้กิจการที่จะทำนั้นๆ สูญหายไป แต่กลับส่งผลให้ดีขึ้น

กิจการใดไม่ได้ทำด้วยความรัก กิจการนั้นก็ไร้ค่า

การกระทำเล็กๆน้อยๆ แม้นต่ำต้อยที่สุด แต่ทำด้วยความรัก กิจการนั้นจะบังเกิดผลมากมาย เหตุว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าพิจารณาเจตนา มากกว่าความยิ่งใหญ่ของกิจการนั้นๆ

.
🌿 (2) คนที่รักมาก จะทำมาก และทำดี

คนทำดี จะทำเพื่อส่วนรวมมากกว่าเพื่อตนเอง

บ่อยครั้ง กิจการที่ดูเหมือนว่าทำด้วยความรัก กลับกลายเป็นการกระทำเพื่อสนองความต้องการของตนเอง

ทั้งนี้เป็นเพราะว่า แรงบันดาลใจในการกระทำกิจการเหล่านั้นมาจากความต้องการของตนเอง หวังสิ่งตอบแทน ปรารถนาจะได้ประโยชน์จากการกระทำนั้นๆ

.
🌿 (3) ผู้มีความรักแท้จริงและดีบริบูรณ์ย่อมไม่แสวงหาเพื่อความดีของตน แต่ปรารถนาให้องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เดียวเท่านั้นได้รับการสรรเสริญ

เขาไม่อิจฉาริษยา เพราะไม่ได้ทำเพื่อความสุขของตน เขาปรารถนาเพียงการอวยพรจากองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์ความดีสูงสุดเท่านั้น

เขาไม่ยกความดีให้แก่ผู้ใด นอกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น พระองค์ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งความดี ความดีทั้งหมดเริ่มต้นและสิ้นสุดที่พระองค์

พระองค์ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งสันติสุข และความชื่นชมยินดีของบรรดานักบุญ

ผู้ตระหนักรู้ถึงความรักที่แท้จริง ย่อมรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนอนิจจัง 🍀 

💘 บทที่ 16
การยอมรับความบกพร่องของผู้อื่น

.
🌿 (1) สิ่งใดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตนเองหรือของผู้อื่น จงน้อมรับด้วยความอดทน จนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะจัดการให้เป็นอย่างอื่น

จงพิจารณาเถิดว่า บางทีอาจเป็นการดีก็ได้ที่ถูกทดลองและฝึกความอดทน ถ้าไม่มีเรื่องเหล่านี้ เราจะไม่มีโอกาสสร้างบุญสร้างกุศลได้เลย

เมื่อประสบปัญหาดังกล่าว จงวอนขอความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระองค์จะช่วยท่านให้สามารถรับสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยความตั้งใจที่ดี

.
🌿 (2) ถ้าได้ตักเตือนเขาสักครั้งหรือสองครั้ง และเขาปฏิเสธที่จะรับฟังก็อย่าบังคับเขาเลย แต่จงถวายทั้งหมดแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

พระสิริมงคลขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะปรากฏในผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์รู้ดีว่าจะแปรเปลี่ยนความชั่วร้ายให้เป็นสิ่งที่ดีได้อย่างไร

จงพยายามอดทนในการยอมรับความบกพร่องและความอ่อนแอของผู้อื่น เพราะเราเองก็มีความบกพร่องและความอ่อนแอที่คนอื่นต้องยอมรับด้วยเช่นเดียวกัน

ถ้าเรายังไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นอย่างที่เราต้องการแล้ว เราจะหวังให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงตัวเขาให้เป็นอย่างที่เราต้องการได้อย่างไร

เราคาดหวังความดีบริบูรณ์ในผู้อื่นเสมอ แต่กลับไม่สามารถแก้ไขความบกพร่องของตนเอง

.
🌿 (3) เราเรียกร้องคนอื่นให้แก้ไขความบกพร่องของเขา แต่เรากลับไม่ยอมแก้ไขข้อบกพร่องของเรา

เราไม่พอใจเมื่อคนอื่นทำตามที่เขาต้องการ

แต่เมื่อคนอื่นปฏิเสธที่จะทำตามที่เราต้องการบ้าง เรากลับไม่พอใจ

เราปรารถนาให้ทุกคนถือตามกฎระเบียบ แต่เราเองกลับไม่ยอมที่จะเสียสละทำตามกฎระเบียบ

บ่อยครั้ง เราไม่ได้ตัดสินผู้อื่นด้วยมาตรฐานเดียวกับที่เราตัดสินตัวเราเอง

ถ้ามนุษย์ทุกคนดีบริบูรณ์ จะมีอะไรให้เราได้อดทนเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

.
🌿 (4) บัดนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพื่อเราแต่ละคนจะได้เรียนรู้ในการยอมรับแบกภาระของกันและกัน

ไม่มีใครไม่มีข้อบกพร่อง

ไม่มีใครอยู่ได้โดยไม่เป็นภาระแก่กันและกัน

ไม่มีใครอยู่ได้โดยไม่พึ่งพาอาศัยผู้อื่น

ไม่มีใครฉลาดรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับตนเอง

เพราะเหตุนี้เราต้องยอมรับความบกพร่องของกันและกัน ให้กำลังใจกันและกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้คำแนะนำและตักเตือนซึ่งกันและกัน

โอกาสเช่นนี้แหละ ที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า เราแต่ละคนมีกำลังมากน้อยแค่ไหน

โอกาสเช่นนี้แหละจะทำให้มนุษย์เข้มแข็ง และเผยแสดงให้เห็นว่า อารมณ์และความรู้สึกของเราเป็นอย่างไร ไม่ใช่เพื่อทำให้เราอ่อนแอลง 🍀
💘 บทที่ 17
ชีวิตของผู้เป็นของพระคริสต์
.
🌿 (1) ถ้าท่านต้องการดำเนินชีวิตท่ามกลางไมตรีจิต และอยู่อย่างสันติสุขกับผู้อื่น ท่านต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตนเองจากกิเลสตัณหา

ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่จะมีชีวิตในคณะนักบวช หรือในสังคมของผู้ทรงศีลอย่างซื่อสัตย์จนกว่าชีวิตจะหาไม่ โดยไม่บ่นว่า

เป็นบุญของผู้เจริญชีวิตอย่างดี และนำสันติสุขมาสู่หมู่คณะ

ถ้าต้องการก้าวหน้า และมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์เท่าที่สามารถจะทำได้ ต้องทำตัวเสมือนหนึ่งผู้ถูกเนรเทศ และเป็นเพียงผู้แสวงบุญบนโลกนี้

ถ้าต้องการเจริญชีวิตแบบผู้ทรงศีล ต้องเป็นคนโง่เขลาเพื่อพระคริสตเจ้า

.
🌿 (2) เครื่องแต่งกาย และการแสดงออกภายนอกไม่ใช่เรื่องสำคัญ การเปลี่ยนแปลงนิสัยและการปล่อยวางกิเลสตัณหาต่างหาก ที่ทำให้ท่านเป็นผู้ทรงศีลอย่างแท้จริง

ผู้ไม่แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และความสมบูรณ์ของจิตวิญญาณ จะต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากและความโศกเศร้า

ใครที่ไม่ยอมเป็นผู้ต่ำต้อยและรับผู้ใช้ผู้อื่น ย่อมไม่พบสันติสุข

.
🌿 (3) ชีวิตของผู้ทรงศีล เรียกร้องให้อดทนและเป็นผู้รับใช้ ไม่ใช่ชีวิตที่สะดวกสบาย หรือคุยเล่น สนุกๆไปวันๆ

ผู้ทรงศีล เป็นเหมือนทองที่ถูกหลอมในเตา ไม่มีใครทนได้จนกว่าหัวใจของเขาจะอ่อนน้อมถ่อมลงเพราะเห็นแก่พระคริสตเจ้า 🍀 


💘 บทที่ 18
แบบอย่างของบรรดาปิตาจารย์

.
🌿 (1) จงพิจารณาชีวิตของบรรดาปิตาจารย์เป็นแบบอย่าง

ท่านเต็มเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ฉายแสงแห่งความครบครัน

แต่สิ่งที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้ ช่างเล็กน้อยเหลือเกิน และแทบจะไม่มีอะไร

ชีวิตของเราไม่สามารถเปรียบเทียบกับท่านเหล่านั้นได้เลย

นักบุญและเพื่อนๆของพระคริสตเจ้า ต่างรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า .....

ท่ามกลางความหิวและกระหาย

ท่ามกลางความหนาวเย็นและความขัดสน

ท่ามกลางการงานที่หนักและความเหนื่อยล้า

ท่ามกลางการระมัดระวังกิเลสตัณหาและการอดอาหาร

ท่ามกลางการสวดภาวนาและการรำพึงถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า

ท่ามกลางการเบียดเบียนและถูกประณาม

.
🌿 (2) ความทุกข์ทรมานของบรรดาอัครสาวก มรณสักขี พรหมจารี และบุคคลต่างๆที่เดินตามองค์พระเยซูคริสตเจ้านั้น ช่างมากมายจริงๆ

ท่านเหล่านั้น ไม่ปรารถนาให้วิญญาณของท่านตกเป็นของโลก แต่ปรารถนาชีวิตนิรันดร

ท่านเหล่านั้นเข้มงวดกับตนเอง และดำเนินชีวิตเหมือนบรรดาปิตาจารย์ที่ใช้ชีวิตในทะเลทราย

การต่อสู้กับการประจญล่อลวงของท่านเหล่านั้น ช่างยาวนานและทุกข์ทรมานยิ่งนัก

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ท่านถูกศัตรูทำร้าย

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ท่านสวดภาวนาอย่างร้อนรนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

ท่านอดอาหารอย่างจริงจัง ท่านได้แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้า ที่จะก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ

ท่านต่อสู้อย่างกล้าหาญ เพราะไม่ต้องการตกเป็นทาสของความชั่วร้าย

ท่านซื่อสัตย์และทำทุกอย่างเพื่อติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า

กลางวันท่านทำงานหนัก กลางคืนท่านอุทิศตนในการสวดภาวนา ถูกแล้ว แม้นขณะทำงานท่านก็ไม่หยุดหย่อนในเรื่องของจิตภาวนา

.
🌿 (3) ท่านใช้เวลาทั้งหมดอย่างมีคุณค่า ทุกๆชั่วโมงดูจะน้อยเกินไปที่จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

การมีสติระลึกรู้ถึงการประทับอยู่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ ทำให้ท่านลืมแม้นกระทั่งความต้องการของร่างกาย

ท่านปฏิเสธทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง มิตรสหายและญาติพี่น้อง ท่านไม่ปรารถนาสิ่งใดๆของโลกนี้ ท่านรับประทานอาหารเพียงเพื่อการดำรงอยู่ของร่างกายเท่านั้น ท่านไม่ต้องการปรนเปรอร่างกายแม้นสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเหตุนี้ท่านจึงยากจนในสิ่งของของโลก แต่ร่ำรวยในพระหรรษทานและคุณธรรม แม้นท่านจะยากจนในสายตาของคนภายนอก แต่ท่านก็เต็มเปี่ยมด้วยพระหรรษทานและพระพร

.
🌿 (4) ท่านเป็นคนแปลกหน้าสำหรับโลก แต่เป็นญาติและเพื่อนสนิทขององค์พระผู้เป็นเจ้า สำหรับท่าน ท่านเหมือนคนไม่มีอะไร และในสายตาของโลก ท่านถูกสบประมาท แต่ในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านมีค่าและเป็นที่รักของพระองค์ ท่านตั้งมั่นอยู่ในความสุภาพอย่างแท้จริง

ท่านดำรงชีวิตอยู่ด้วยความนบนอบแบบซื่อๆ ท่านดำเนินชีวิตด้วยความรักและความอดทน แต่จิตวิญญาณของท่านเข้มแข็ง และเป็นที่โปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ชีวิตของท่านคือแบบอย่างของนักบวชและเตือนใจเราอย่างมากให้ดำเนินชีวิตบนหนทางที่ถูกต้อง มิใช่ตามแบบอย่างของผู้คนที่ดำเนินชีวิตตามอารมณ์ที่ปรารถนาความสุขฝ่ายเนื้อหนัง และความสะดวกสบาย โดยไม่ใส่ใจในชีวิตอย่างแท้จริง

.
🌿 (5) ความรักของท่านเหล่านั้นเมื่อเริ่มก่อตั้งคณะศักดิ์สิทธิ์นี้ ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ท่านเหล่านั้นอุทิศตนในการสวดภาวนา

การต่อสู้เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของท่านช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ท่านเหล่านั้นรักษากฎระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ทำทุกอย่างด้วยความเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ ผลจากการดำเนินชีวิตของท่านยังคงอยู่จนทุกวันนี้ เพื่อยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์และครบครันอย่างแท้จริง

ท่านต่อสู้อย่างกล้าหาญ เพื่อโลกจะได้สยบอยู่ภายใต้เท้าของท่าน

แต่ทุกวันนี้ เพียงแค่ใครสักคนไม่ละเมิดกฎระเบียบ ใครสักคนอดทนทำในสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้ทำ เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่แล้ว

.
🌿 (6) ยุคของเรา เป็นยุคที่เฉื่อยชา และปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจในความรักต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงจังเหมือนในอดีต และออกห่างจากความรักที่แท้จริงไปอย่างรวดเร็ว ....

เพราะความไม่เอาใจใส่ และความเย็นเฉยนี้แหละ ที่ทำให้การมีชีวิตเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย

หลายต่อหลายครั้งแล้ว ที่เราได้เห็นแบบอย่างมากมายของผู้มีใจศรัทธา

ขอความก้าวหน้าในความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเรา อย่าได้นอนซบเซาอยู่เลย 🍀

🌷 

💘 บทที่ 19
กิจวัตรของผู้ทรงศีล

.
🌿 (1) ชีวิตของคริสตชนต้องเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม

ชีวิตภายในเป็นอย่างไร ชีวิตภายนอกก็ต้องปรากฏแก่ผู้อื่นเช่นนั้นด้วย อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องแน่นอนว่า ชีวิตภายในจะต้องดีกว่าชีวิตที่ปรากฏภายนอก

องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้วินิจฉัยหัวใจของเรา ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม พระองค์คือผู้ที่เราต้องเคารพด้วยหัวใจของเราทั้งหมด และดำเนินชีวิตด้วยความบริสุทธิ์ เหมือนบรรดาเทวดาทั้งหลายที่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์

ทุกๆวัน เราต้องรื้อฟื้นคำสัญญาของเรา และกระตุ้นหัวใจของเราให้เร่าร้อน เสมือนหนึ่งว่า แต่ละวัน คือวันแรกแห่งการกลับใจของเรา และบอกพระองค์ว่า ....

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยลูกให้ตั้งมั่นในความดี และดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ โปรดช่วยลูกให้เริ่มต้นวันนี้อย่างดี เพราะถ้าพระองค์ไม่ช่วยลูกแล้ว ลูกก็ไม่สามารถทำอะไรให้ดีได้เลย”

.
🌿 (2) ความก้าวหน้าในความศักดิ์สิทธิ์ของเรา ขึ้นอยู่กับความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวของเรา

และสำคัญกว่านั้น คือ เราต้องมีความปรารถนา และเอาใจใส่อย่างแท้จริงที่จะก้าวหน้าในความศักดิ์สิทธิ์

ทั้งนี้เป็นเพราะว่า บ่อยครั้ง แม้นคนที่มีความปรารถนาและเอาใจใส่อย่างแท้จริงก็ยังพบกับความผิดหวัง ...

ตรงกันข้าม อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่มีความปรารถนาและเอาใจใส่อย่างแท้จริง

มีเหตุการณ์มากมาย ที่อาจจะทำให้ความตั้งใจของเราแปรเปลี่ยนไป

การละเลยในการฝึกฝนความศักดิ์สิทธิ์ จะก่อให้เกิดความสูญเสียแก่เรา

ความตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องนั้น ขึ้นอยู่กับพระหรรษทานขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ประทานแก่เรา มากกว่าความเฉลียวฉลาดของเราเอง

เพราะในองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ที่เราจะทำทุกอย่างได้

“เราต้องวางใจในพระองค์เสมอ”

“มนุษย์เป็นผู้วางแผน แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้จัดการ”

“หนทางของมนุษย์ ไม่ได้อยู่ในมือของมนุษย์”

.
🌿 (3) บางครั้ง ถ้าการฝึกฝนความศักดิ์สิทธิ์ถูกละเว้นไปบ้างเพราะกิจเมตตาหรือเพราะความเมตตาต่อพี่น้อง ก็คงไม่ยากที่จะกลับมาฝึกฝนต่อได้ในภายหลัง

แต่ถ้าเป็นการละเลยเพราะความเบื่อหน่าย หรือความเกียจคร้าน ก็กลายเป็นความผิด และสมควรถูกตำหนิ

จงพากเพียรเท่าที่จะทำได้ เราอาจจะทำไม่ได้บ้างในบางครั้ง ในบางเรื่อง

จงกำหนดข้อตั้งใจให้ชัดเจนเสมอๆ และที่สำคัญที่สุด คือ เราต้องมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะต่อสู้กับบาปต่างๆซึ่งทำร้ายจิตใจของเราได้อย่างง่ายดาย

หมั่นพิจารณาอย่างรอบคอบทั้งชีวิตภายนอก และชีวิตภายใน และควบคุมให้อยู่ในอำนาจของเรา เพราะเราต้องดูแลทั้งชีวิตภายนอกและชีวิตภายในให้ก้าวหน้าอยู่เสมอๆ

.
🌿 (4) ถ้าเราไม่สามารถพิจารณาตัวได้บ่อยๆ ก็จงกำหนดเวลาที่จะพิจารณาตัวให้เป็นเวลา อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง อาจเป็นตอนเช้าและตอนเย็น

ตอนเช้า พิจารณาเรื่องความตั้งใจ

และตอนเย็น พิจารณาถึงชีวิตที่ผ่านไปตลอดวันนั้น ทั้งคำพูด การกระทำ และความคิด ...

เพราะบ่อยครั้งที่เราทำผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์ด้วยพฤติกรรมเหล่านี้ จงจับอาวุธขึ้น เหมือนคนที่กำลังต่อสู้กับความชั่วร้ายเถิด

จงรู้เท่าทันความปรารถนาของตนเอง และในไม่ช้าท่านจะสามารถเอาชนะความต้องการฝ่ายเนื้อหนังได้ทั้งหมด

อย่าอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไร จงอ่าน เขียน สวดภาวนา หรือรำพึง หรือทำอะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์ต่อหมู่คณะ

การบริหารร่างกายเป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องทำด้วยความรอบคอบและไม่ใช่ว่าทุกคนต้องทำเหมือนกัน

.
🌿 (5) หน้าที่บางอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ปกติธรรมดาสำหรับคนทั่วๆไป ก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างเปิดเผย และอาจจะปลอดภัยกว่าถ้าได้ทำเป็นการส่วนตัว

จงระมัดระวัง อย่าละเลยหน้าที่ส่วนรวม ซึ่งควรทำพร้อมๆกับความศรัทธาส่วนตัว

จงทำหน้าที่ทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายด้วยความเชื่อและความซื่อสัตย์ และเมื่อหน้าที่เหล่านั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว และมีเวลา จึงค่อยทำในสิ่งที่ท่านต้องการ

แต่ละคนต่างมีข้อตั้งใจที่จะฝึกปฏิบัติ ที่แตกต่างกันออกไป บางอย่างเหมาะกับคนหนึ่ง บางอย่างเหมาะกับอีกคนหนึ่ง

แม้นแต่การฝึกปฏิบัติในแต่ละเทศกาล ก็ยังแตกต่างกัน การฝึกปฏิบัติบางอย่างเหมาะกับเทศกาลฉลอง บางอย่างเหมาะกับเทศกาลถือศีลอดอาหาร บางอย่างเหมาะกับเทศกาลธรรมดา

การฝึกปฏิบัติยังแตกต่างกันออกไปในแต่ช่วงเวลา เช่น ในเวลาถูกประจญ เวลาที่อยู่ในสันติสุขและความสงบ

การฝึกปฏิบัติบางอย่าง เหมาะกับช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้า บางอย่างเหมาะกับช่วงเวลาแห่งความชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า

.
🌿 (6) เป็นการดีที่จะมีการรื้อฟื้นการฝึกปฏิบัติ เมื่อเข้าสู่เทศกาลต่างๆ เราควรสวดภาวนาขอความช่วยเหลือจากบรรดานักบุญเพื่อเตรียมตัวสำหรับการฉลองในเทศกาลนั้นๆ

การฝึกปฏิบัติ จากการฉลองหนึ่งไปสู่อีกการฉลองหนึ่งนั้น เราควรมีความตั้งใจ เสมือนหนึ่งว่า ช่วงเวลานั้นๆคือการลาจากโลกนี้ เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การฉลองนิรันดร

เราควรเตรียมตัวต้อนรับเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ และพยายามถือวินัยทุกข้ออย่างเคร่งครัดมากยิ่งขึ้น เสมือนหนึ่งว่า อีกไม่ช้า เราจะได้รับรางวัลจากพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า สำหรับความยากลำบากของเรา

.
🌿 (7) แต่หากเราเลื่อนการฝึกปฏิบัติของเราออกไปเรื่อยๆ จงเชื่อเถิดว่าการเตรียมตัวของเรานั้นยังไม่ดี และไม่มีค่าควรแก่สิริมงคลที่เราจะได้รับเมื่อสิ้นสุดเทศกาลนั้นๆ จงเรียนรู้ที่จะเตรียมตัวของเราให้ดีขึ้นเมื่อเวลาของเรามาถึง

มีเขียนไว้ในพระวรสารของนักบุญลูกาว่า “เป็นบุญของผู้รับใช้ เมื่อนายกลับมาพบว่าเขากำลังตื่นเฝ้าอยู่ เป็นความจริง เราขอบอกแก่ท่านว่า นายจะแต่งตั้งเขาให้ดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตน” 🍀
 

💘 บทที่ 18
แบบอย่างของบรรดาปิตาจารย์

.
🌿 (1) จงพิจารณาชีวิตของบรรดาปิตาจารย์เป็นแบบอย่าง

ท่านเต็มเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ฉายแสงแห่งความครบครัน

แต่สิ่งที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้ ช่างเล็กน้อยเหลือเกิน และแทบจะไม่มีอะไร

ชีวิตของเราไม่สามารถเปรียบเทียบกับท่านเหล่านั้นได้เลย

นักบุญและเพื่อนๆของพระคริสตเจ้า ต่างรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า .....

ท่ามกลางความหิวและกระหาย

ท่ามกลางความหนาวเย็นและความขัดสน

ท่ามกลางการงานที่หนักและความเหนื่อยล้า

ท่ามกลางการระมัดระวังกิเลสตัณหาและการอดอาหาร

ท่ามกลางการสวดภาวนาและการรำพึงถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า

ท่ามกลางการเบียดเบียนและถูกประณาม

.
🌿 (2) ความทุกข์ทรมานของบรรดาอัครสาวก มรณสักขี พรหมจารี และบุคคลต่างๆที่เดินตามองค์พระเยซูคริสตเจ้านั้น ช่างมากมายจริงๆ

ท่านเหล่านั้น ไม่ปรารถนาให้วิญญาณของท่านตกเป็นของโลก แต่ปรารถนาชีวิตนิรันดร

ท่านเหล่านั้นเข้มงวดกับตนเอง และดำเนินชีวิตเหมือนบรรดาปิตาจารย์ที่ใช้ชีวิตในทะเลทราย

การต่อสู้กับการประจญล่อลวงของท่านเหล่านั้น ช่างยาวนานและทุกข์ทรมานยิ่งนัก

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ท่านถูกศัตรูทำร้าย

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ท่านสวดภาวนาอย่างร้อนรนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

ท่านอดอาหารอย่างจริงจัง ท่านได้แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้า ที่จะก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ

ท่านต่อสู้อย่างกล้าหาญ เพราะไม่ต้องการตกเป็นทาสของความชั่วร้าย

ท่านซื่อสัตย์และทำทุกอย่างเพื่อติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า

กลางวันท่านทำงานหนัก กลางคืนท่านอุทิศตนในการสวดภาวนา ถูกแล้ว แม้นขณะทำงานท่านก็ไม่หยุดหย่อนในเรื่องของจิตภาวนา

.
🌿 (3) ท่านใช้เวลาทั้งหมดอย่างมีคุณค่า ทุกๆชั่วโมงดูจะน้อยเกินไปที่จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

การมีสติระลึกรู้ถึงการประทับอยู่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ ทำให้ท่านลืมแม้นกระทั่งความต้องการของร่างกาย

ท่านปฏิเสธทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง มิตรสหายและญาติพี่น้อง ท่านไม่ปรารถนาสิ่งใดๆของโลกนี้ ท่านรับประทานอาหารเพียงเพื่อการดำรงอยู่ของร่างกายเท่านั้น ท่านไม่ต้องการปรนเปรอร่างกายแม้นสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเหตุนี้ท่านจึงยากจนในสิ่งของของโลก แต่ร่ำรวยในพระหรรษทานและคุณธรรม แม้นท่านจะยากจนในสายตาของคนภายนอก แต่ท่านก็เต็มเปี่ยมด้วยพระหรรษทานและพระพร

.
🌿 (4) ท่านเป็นคนแปลกหน้าสำหรับโลก แต่เป็นญาติและเพื่อนสนิทขององค์พระผู้เป็นเจ้า สำหรับท่าน ท่านเหมือนคนไม่มีอะไร และในสายตาของโลก ท่านถูกสบประมาท แต่ในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านมีค่าและเป็นที่รักของพระองค์ ท่านตั้งมั่นอยู่ในความสุภาพอย่างแท้จริง

ท่านดำรงชีวิตอยู่ด้วยความนบนอบแบบซื่อๆ ท่านดำเนินชีวิตด้วยความรักและความอดทน แต่จิตวิญญาณของท่านเข้มแข็ง และเป็นที่โปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ชีวิตของท่านคือแบบอย่างของนักบวชและเตือนใจเราอย่างมากให้ดำเนินชีวิตบนหนทางที่ถูกต้อง มิใช่ตามแบบอย่างของผู้คนที่ดำเนินชีวิตตามอารมณ์ที่ปรารถนาความสุขฝ่ายเนื้อหนัง และความสะดวกสบาย โดยไม่ใส่ใจในชีวิตอย่างแท้จริง

.
🌿 (5) ความรักของท่านเหล่านั้นเมื่อเริ่มก่อตั้งคณะศักดิ์สิทธิ์นี้ ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ท่านเหล่านั้นอุทิศตนในการสวดภาวนา

การต่อสู้เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของท่านช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ท่านเหล่านั้นรักษากฎระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ทำทุกอย่างด้วยความเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ ผลจากการดำเนินชีวิตของท่านยังคงอยู่จนทุกวันนี้ เพื่อยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์และครบครันอย่างแท้จริง

ท่านต่อสู้อย่างกล้าหาญ เพื่อโลกจะได้สยบอยู่ภายใต้เท้าของท่าน

แต่ทุกวันนี้ เพียงแค่ใครสักคนไม่ละเมิดกฎระเบียบ ใครสักคนอดทนทำในสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้ทำ เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่แล้ว

.
🌿 (6) ยุคของเรา เป็นยุคที่เฉื่อยชา และปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจในความรักต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงจังเหมือนในอดีต และออกห่างจากความรักที่แท้จริงไปอย่างรวดเร็ว ....

เพราะความไม่เอาใจใส่ และความเย็นเฉยนี้แหละ ที่ทำให้การมีชีวิตเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย

หลายต่อหลายครั้งแล้ว ที่เราได้เห็นแบบอย่างมากมายของผู้มีใจศรัทธา

ขอความก้าวหน้าในความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเรา อย่าได้นอนซบเซาอยู่เลย 🍀